รัฐสภา 7 ก.พ.- “กลุ่มทำทาง” ยื่นหนังสือ กมธ.สาธารณสุข ขอติดตามกฎหมายทำแท้งให้ครอบคลุมและเข้าถึงได้ง่าย
นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ สส.เพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการสาธารณสุข รับหนังสือจากนางสาวสุพีชา เบาทิพย์ กลุ่มทำทาง เพื่อขอให้ตรวจสอบติดตามการดำเนินงาน และให้ข้อเสนอแนะต่อกระทรวงสาธารณสุขในการเพิ่ม จำนวนสถานบริการทำแท้งปลอดภัย ที่รับงบประมาณสนับสนุนค่าบริการจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงประกาศรายชื่อสถานบริการทำแท้งปลอดภัย ตลอดจนให้ข้อมูลสิทธิสุขภาพในการได้รับการสนับสนุนค่าบริการทำแท้ง และข้อมูลเรื่องการทำแท้งที่ถูกต้องให้ประชาชนได้รับทราบ เพื่อบังคับใช้กฎหมายทำแท้งฉบับแก้ไขใหม่ให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง
นางสาวสุพีชา กล่าวว่าแม้กฎหมายจะอนุญาตให้ทำแท้งแล้ว แต่ในทางปฏิบัติประชาชนที่ประสบปัญหาตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์และต้องการเข้าถึงการบริการทำแท้งที่ปลอดภัยยังคงเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ตามกฎหมายได้ยากลำบาก ไม่ต่างจากก่อนที่จะมีการแก้ไขกฎหมายแต่อย่างใด
ดังนั้นจึงขอเสนอ ให้คณะกรรมาธิการฯ ติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเพิ่มจำนวนสถานบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ,สปสช.ต้องสนับสนุนให้หน่วยรับเรื่องร้องเรียนที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียน หรือศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทอง สามารถรับเรื่องร้องเรียน จากผู้ที่ถูกปฏิเสธ ,ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลเรื่องสิทธิ์สุขภาพในการเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ,กำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาการเข้าไม่ถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยและการประชาสัมพันธ์นโยบาย ,การจัดทำข้อมูลสถานการณ์การทำแท้งของประเทศ ,การดำเนินการเพื่อการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์, การดำเนินการประชาสัมพันธ์รณรงค์สาธารณะ และกระทรวงสาธารณสุขควรดำเนินการให้มีการยุติการตั้งครรภ์ โดยการใช้ยาผ่านระบบการแพทย์ทางไกลหรือโทรเวชกรรม
นพ.ทศพร กล่าวว่า เรื่องของการทำแท้งสมัยก่อนเป็นเรื่องที่ลำบากมากๆ เราจำเป็นต้องมีการอนุญาต ให้สุภาพสตรีเลือกได้ว่าตนเองจะตั้งครรภ์ต่อ หรือยุติการตั้งครรภ์ ซึ่งจะต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยด้วย จึงจำเป็นจะต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์ แต่จากที่ทราบปัญหาคือยังเข้าไม่ถึงบริการนี้ ดังนั้นทางกรรมาธิการสาธารณสุข จะเชิญกระทรวงสาธารณสุข สปสช.และผู้ที่เกี่ยวข้องมาปรึกษาหารือกันและจะเชิญกลุ่มที่ยื่นหนังสือมาประชุมร่วมกัน เพื่อส่งต่อเป็นนโยบายของรัฐบาลหรือกระทรวงสาธารณสุข.-312.-สำนักข่าวไทย