รัฐสภา 2 ก.พ.-กมธ.อุตสาหกรรม ร่อนหนังสือถึง มท.1 หลังพบปัจจัยเสี่ยงเหตุโรงงานพลุระเบิดที่ จ.สุพรรณบุรี ย้ำมาตรการล้อมคอกป้องเหตุระเบิดซ้ำซาก
นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้ลงนามในหนังสือส่งถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เกี่ยวกับโรงงานผลิตพลุระเบิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี ถือเป็นข้อสังเกตที่สำคัญภายหลังจากเชิญผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากหลายฝ่าย มาให้ข้อมูลกับกรรมาธิการฯ ประกอบด้วย ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี กรมโรงงานอุตสาหกรรม เจ้ากรมอุตสาหกรรมทหาร กรมคุ้มครองแรงงานและสวัสดิการสังคม และกรมการปกครอง จนกลายมาเป็นข้อสังเกตที่สำคัญของที่ประชุม
นายอัครเดช กล่าวว่า ข้อสังเกตของกรรมาธิการฯเห็นว่า สาเหตุที่สำคัญ ทำให้โรงงานผลิตพลุระเบิด คือ การตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบที่ฝ่ายปกครองเชิญมาร่วม เพื่อไปตรวจสอบโรงงานผลิตพลุ โดยกรรมการชุดนี้ไม่ได้ไปตรวจในวันที่มีการผลิต แต่ไปตรวจในวันหยุดการผลิต ทำให้คนงานไม่มีการผลิตพลุ จึงไม่เห็นกระบวนการผลิต
ดังนั้นจากการไปตรวจโรงงานในวันที่หยุดทำการผลิต ทำให้การตรวจสอบไม่สมบูรณ์ ไม่เห็นกระบวนการผลิตที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือการกระทำที่เป็นอันตรายได้ระหว่างมีการผลิต เช่น การลากถู การกระแทกวัตถุระเบิด หรือตัวพลุ เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้
“กระบวนการผลิตพลุ ถ้ามีการกระแทก มีการลากถูกับพลุที่ทำเสร็จแล้ว หรือแม้แต่วัสดุที่ใช้ในการผลิตก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ถ้าเราไม่เห็นกระบวนการผลิต เราก็ไม่รู้ว่ามีข้อควรระวังอะไรบ้าง ดังนั้นการระเบิดของพลุที่จังหวัดสุพรรณบุรี อาจจะเกิดจากลากวัตถุดิบ หรือพลุที่ผลิตเสร็จแล้ว เกิดการกระแทกก็เป็นได้ จึงเกิดความสูญเสียขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในที่ประชุม มีความเห็นตรงกันว่า สิ่งสำคัญของโรงงานผลิตพลุ คือ กระบวนการผลิตและการจัดการกากของเสียจากโรงงานผลิตพลุ”นายอัครเดช กล่าว
ประธานกมธ.อุตสาหกรรม กล่าวย้ำว่า ได้ส่งข้อสังเกตนี้ถึง รมว.มหาดไทยแล้ว เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้พิจารณาสั่งการถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อให้แก้ไขปรับปรุงการตรวจสอบการผลิตพลุในครั้งต่อไปในโรงงานผลิตพลุทั่วประเทศมีความสมบูรณ์ รอบคอบ รัดกุมมากกว่าเดิม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายซ้ำขึ้นมาอีก.-312.-สำนักข่าวไทย