สว.ชำแหละนโยบายประชานิยม

รัฐสภา 30 ม.ค.- สว.ชำแหละนโยบายประชานิยม  คิดแค่สร้างวาทะกรรม  ให้ได้คะแนนเสียง หากทำไม่ได้หลอกลวงประชาชนหรือไม่ สงสัยแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต พรรคการเมืองไหนได้ประโยชน์


ในการประชุมวุฒิสภา มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา (สว.)เป็นประธานการประชุม  พิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาเรื่องผลกระทบของนโยบายหาเสียงเชิงประชานิยมของพรรคการเมืองไทย ซึ่งคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง  และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา  พิจารณาเสร็จแล้ว  โดยนายกำพล เลิศเกียรติดำรงค์ สว.ในฐานะประธานอนุ กมธ.ด้านวิชาการและเสริมสร้างให้ความรู้ระบอบประชาธิปไตย  อันมีพระมหากษัติรย์ทรงเป็นประมุข  พิจารณาศึกษาเรื่องผลกระทบของนโยบายหาเสียงเชิงประชานิยมของพรรคการเมืองไทย    ชี้แจงว่า การพิจารณาศึกษาเรื่องนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของบ้านเมืองในปัจจุบัน  ซึ่งคณะอนุ กมธ.ฯ  เห็นว่านโยบายการหาเสียงของพรรคการเมืองถูกวิพากษ์วิจารณ์ในกระแสสังคมอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง    ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มีข้อดีและข้อเสียต่างกันไปจนเป็นเหตุทำให้มีผลกระทบต่อประชาชนที่คาดหวังที่เฝ้ารอดูว่านโยบายนี้ จะทำได้จริงตามที่หาเสียงไว้หรือไม่

นายกำพล  กล่าวว่านโยบายหาเสียงเชิงประชานิยม   มีทั้งข้อดีและข้อเสียงควบคู่กันไป การที่พรรคการเมืองในอดีตและปัจจุบันได้นำนโยบายต่างๆ  มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหาคะแนนเสียง ให้ได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง    หากมีการหาเสียงไปในทิศทางการสร้างวาทะกรรม หรือการใช้ช่องว่างทางกฎหมายที่ไม่เหมาะสมล้วนแล้วก่อให้เกิดปัญหา  สร้างร่องรอยความเสียหายให้กับประเทศอย่างใหญ่หลวง   และทำให้เครืองมือที่บังคับใช้เกิดความล้มเหลว   หน่วยงานที่กำกับดูแลจะเกิดความอ่อนแอ  


“จากการติดตามผลของการบังคับใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่พรรคการเมืองต้องชี้แจงที่มา  และแหล่งเงินที่นำมาทำนโยบายต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง   แต่พบว่าการเลือกตั้งปี 66 พรรคการเมืองมีการใช้นโยบายหาเสียงเชิงประชานิยมมากกว่าการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา     นโยบายการหาเสียงของพรรคการเมืองที่ไร้ความรับผิดชอบ เปรียบเสมืองนโยบายชวนเชื่อ   ที่พยายามจะใช้ช่องว่างของกฎหมาย  สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ   เหมือนในอดีตที่ผ่านมา  ซึ่งทำให้ก่อภาระหนี้ผูกพันของประเทศมาจนถึงปัจจุบันและอนาคตได้” นายกำพล กล่าว

ด้านนายเชษฐา ทรัพย์เย็น  อนุ กมธ. ชี้แจงว่าประเด็นเรื่องความชอบธรรมในการออกนโยบายประชานิยม   อาจะเป็นการละเมิดหลักการประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะเป็นการเอาเสียงข้างมากมากดเสียงข้างน้อย และเป็นการเอาผลประโยชน์ของประชาชนและกับคะแนนเสียงทางการเมืองหรือไม่  ประเด็นเรื่องความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณ เนื่องจากการใช้งบประมาณจำนวนมาก   เพื่อที่จะแจกจ่ายเงินไปถึงมือประชาชนนั้น  อาจจะทำให้ประเทศเกิดปัญหาหนี้สินอย่างมหาศาลตามมา   ถ้าการดำเนินการไม่เป็นไปตามความรอบคอบและรัดกุม  ประเด็นเรื่องความยั่งยืนแก้ความเหลื่อมล้ำไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาในระยะยาวอย่างแท้จริง    พราะเป็นการแก้ปัญหาแบบหว่านแห   ไม่ได้มุ่งไปที่กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง

“ในทางเศรษฐศาสตร์ การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต  อาจจะไม่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ  เพราะการแจกเงินให้ทุกคนเท่ากัน ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต   อาจจะไม่คุ้มค่า หากเปรียบกับการทำเงินไปใช้กับโครงการอื่น เช่น  การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน  ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว รวมถึงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต  อาจจะส่งผลต่อความยั่งยืนทางการเงินการคลังของประเทศในระยะยาว   เนื่องจากต้องใช้เงินจำนวนมากมาทำโครงการในระยะสั้น” นายเชษฐา กล่าว


จากนั้นเปิดให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น  โดยว่าที่ร้อยตรีวงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี สว. อภิปรายว่านโยบายของพรรคการเมืองมีผลต่อปากท้องของประชาชน  เพราะประชาชนทำมาหากินภายใต้นโยบายรัฐบาล ส่วนนโยบายที่มุ่งไปที่รัฐสวัสดิการนั้น   ตนเห็นด้วย แต่ต้องดูว่ารัฐบาลทำตามหน้าที่หรือไม่  ผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่    กมธ.ต้องกล้านำเสนอ เพราะไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งสมัยหน้าจะมีปัญหา เนื่องจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา   มีพรรคการเมืองหนึ่งบอกว่าจะให้ 2 หมื่นบาทจะทำอย่างไร   เพราะวันนี้แค่ 1 หมื่นบาท ก็ยังทำไม่ได้   แต่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนมาแล้วเพราะความอยากได้ หรือที่เสนอไว้ค่าแรง 600 บาทต่อวัน ก็ไม่ได้

ด้านนายเฉลิมชัย เฟื่องคอน   สว. อภิปรายว่าดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย  ที่เป็นแกนนำรัฐบาล ที่หาเสียงไว้อย่าง แต่ปฏิบัติอีกอย่าง  โดยหาเสียงว่าเงิน 5.6 แสนล้านบาท ให้คนละ 1 หมื่นบาททุกคน  โดยไม่ต้องกู้ แต่เวลาแถลงนโยบาย ก็บอกเงินไม่มี  ต้องกู้ และแจกไม่ทุกคน

“อย่างนี้ถือว่าหาเสียงอีกอย่าง  ทำอีกอย่าง  หลอกลวงเพื่อคะแนนิยม ทำให้ประชาชนหลงผิด   และหากรัฐบาลต้องกู้เงิน 5.6 แสนล้านบาท   จะมีผลกระทบที่ตามมาคือต้องจ่ายเงินต้นเพิ่มอีกปีละ 1.24 แสนล้านบาท จากที่ต้องจ่ายทุกปีละ 1.3 แสนล้านบาท ดอกเบี้ยจากที่ต้องจ่ายปี 67  ตั้งไว้ 2.3 แสนล้านบาท  หากกู้เราต้องจ่ายเพิ่มอีก จะทำให้เราต้องจ่ายทั้งต้นและดอกรวมแล้วปีละ 4.8 แสนล้านบาท    จากงบประมาณที่ตั้งไว้ 3.48 ล้านบาท  ซึ่งจะกระทบต่อการบริหารหนี้  จึงสงสัยว่าการทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ตกลงแล้วรัฐบาลจะเอาเงินจากตรงไหน จะกู้หรือเงินจากงบประมาณและจะยกเลิกหรือไม่ เพราะการเอาเงินบาทไปแลกเหรียญดิจิทัล  และเอาเงินดิจิทัลไปแลกเงินบาท ก็เสียค่าธรรมเนียมอีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท   บริษัทไหน พรรคการเมืองไหนจะได้ประโยชน์ ดังนั้นโครงการนี้ต้องคิดให้รอบครอบ เพราะสิ่งที่พรรคการเมืองทำก็คิดแค่ประโยชน์ของพรรคและกลุ่มทุนเท่านั้น” นายเฉลิมชัย กล่าว

ขณะที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ สว.ในฐานะประธาน  กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ชี้แจงว่า  มีหลายครั้งที่เสนอไปแล้ว มักจะถูกถ่วงติงจากฝ่ายการเมืองว่าเราไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง เสนออะไรไปก็คงจะรู้ไม่จริง  ต้องเรียนว่าในการทำรายงานฉบับนี้    ซึ่งตนเป็นประธานนั้น ตนเคยลงเลือกตั้ง สส.มาแล้ว  เคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งมาแล้ว และเคยลงเลือกตั้ง สว.ที่เลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงมาแล้ว   ฉะนั้นคงมีประสบการณ์มาบ้างเกี่ยวกับการเลือกตั้ง แต่ในข้อเสนอของ กมธ.ที่เสนอมานี้เห็นว่านโยบายหาเสียงที่ผ่านมาเป็นปัญหากับบ้านเมืองและเป็นอันตราย   โดยในนโยบายที่หาเสียงกันช่วงก่อนๆ  ไม่ได้มีกติกาอะไรกันมาก  มีการหาเสียงกันแบบใช้งบประมาณจำนวนมากที่กระทบกับการเงินการคลัง หลายเรื่องทำไม่ได้   บางเรื่องก็ทำได้ แต่ใช้เงินเยอะ ดังนั้นสังเกตได้ว่าในรัฐธรรมนูญปี 40 และปี 50 ไม่ได้กำหนดกติกาที่เคร่งครัดกับการกำหนดนโยบายหาเสียง   จนกระทั่งรัฐธรรมนูญปี 60  เห็นปัญหาในเรื่องเหล่านี้   จึงได้บัญญัติไว้ในมาตรา 258 หมวด ก (3)  ที่ให้ความสำคัญว่านโยบายต่างๆ ต้องมีกลไกกำหนดความรับผิดชอบของพรรคการเมือง การประกาศโฆษณา   นโยบายที่ต้องวิเคราะห์ผลกระทบ   ความคุ้มค่า  ความเสี่ยงรอบด้าน โดยการกำหนดกติกานี้ไว้เพื่อไม่ให้เกิดแนวนโยบายหาเสียงประชานิยม   และมีผลกระทบต่อการเงินการคลังของประเทศ    แต่ในที่สุดยังไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ กลายเป็นเรื่องของการหลอกลวงประชาชนเพื่อให้ได้คะแนนเสียง

นายเสรี ยังกล่าวว่า การเลือกตั้งแต่ละครั้ง กลยุทธ์หรือวิธีการต่างๆ ก็ถูกนำมาเสนอเพื่อให้ได้คะแนนเสียงจากประชาชน  จะเห็นได้ว่ามีกฎหมายกำหนดแนวทางไว้ในการห้ามการกระทำบางอย่างเพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบ  เสียเปรียบ เช่น กฎหมายเลือกตั้ง  สส.  ระบุว่าในการหาเสียงนั้นห้ามสัญญาว่าจะให้  เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น แต่เมื่อนักการเมืองหาเสียงแล้วไปสัญญาว่าจะให้ ตัวอย่างคือการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต   ซึ่งเป็นการแจกเงินจำนวนมากงบประมาณถึง 5.6 แสนล้านบาท ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กกต.ที่ต้องตรวจสอบ กำหนดแนวทางวิธีการไม่ให้มีการทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น  แต่ต้องยอมรับว่า กกต. บอกว่าเป็นนโยบายสามารถทำได้  ปัญหาก็กลับมาที่ กกต.อีก   หาก กกต.บอกว่าทำไม่ได้ หมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมาย  กระทบการเงินการคลัง   นโยบายนี้มีปัญหากับการเลือกตั้ง พรรคการเมืองเขาก็จะไม่นำมาใช้  แต่ปรากฏว่ากกต.ไปวางกฎเกณฑ์ไว้แบบนี้   เมื่อ กกต.บอกว่าทำได้  แต่ถูกเสียงคัดค้านมากมายว่ามีปัญหา   อาจจะมีการทุจริตเกิดขึ้นได้อีก กกต.จึงขาดความน่าเชื่อถือ

“ปัญหาคือเมื่อ กกต.ขาดความน่าเชื่อถือ ก็ไปบอกว่าเลือกคนเหล่านี้ไปเป็น กกต.ได้อย่างไร ขาดความกล้าหาญ   ไม่เด็ดขาด ไม่กล้าวางแนวที่ถูกต้องเพื่อให้พรรคการเมือง   หรือนักการเมืองปฏิบัติได้   แต่จะไปโทษ กกต.อย่างเดียวไม่ได้   ต้องโทษคนเลือก  กกต.ที่มาจากวุฒิสภาว่าไปเลือกอย่างนี้มาได้อย่างไร   วุฒิสภาบอกว่าเลือก  เพราะกรรมการสรรหา เขาเลือกมาให้แล้ว   จะทำอย่างไรได้ ตัวเลือกมีแค่นี้ สว.ก็ต้องเลือกแค่นี้    ความรับผิดชอบก็ไปที่กรรมการสรรหาอีก ไปๆ มาๆ  หาคนรับผิดชอบไม่ได้   บ้านเมืองนี้ก็ต้องโยนกันไป โยนกันมา ในที่สุดแล้วการเมืองบ้านเราจะไม่พัฒนาอย่างที่เราต้องการ  การเมืองที่มีการกระทำผิดต่อกฎหมายเกิดขึ้นตลอดเวลา  การเลือกตั้งที่บอกว่าต้องสุจริตและเที่ยงธรรม ต้องหาคนดีมาเป็นตัวแทนประชาชน  คนไม่ดีเหยียบบันไดสภาฯไม่ได้   ดังนั้นคงต้องรอให้ กกต.พ้นหน้าที่กันไป   หรือ กกต.อาจจะต้องรับผิดชอบในทางกฎหมาย    ขึ้นอยู่กับการกระทำที่ทำไปแล้ว แต่ผลที่ออกมาความเสียหายเกิดขึ้น เราได้นักการเมือง   เราได้ สส.ที่ทำผิดกฎหมายมากมาย เข้ามาอยู่ในสภาฯ ผมก็พยายามพูดเสมอว่าการเมืองไทยแปลก   เราเลือกตั้งได้คนทำผิดกฎหมายมามากมาย   แต่คนทำผิดกฎหมายมาออกกฎหมาย   บังคับประชาชน  ก็เป็นเรื่องแปลกที่เราปล่อยให้คนทำผิดกฎหมายมาออกกฎหมาย   ดังนั้น ในยุคต่อๆไปหวังว่า การเมืองที่ใช้นโยบายประชานิยมเปลี่ยนเป็นนโยบายกระแสนิยม    ถ้าเปลี่ยนได้ก็สามารถทำให้การใช้งบประมาณไม่กระทบกับประเทศ”นายเสรี กล่าว

นายเสรี กล่าวด้วยว่า ทาง กมธ.ขอรับข้อเสนอมาปรับปรุงแก้ไขและหากที่ประชุมวุฒิสภาไม่ขัดข้องกับรายงานฉบับนี้    ขอให้ประธานวุฒิสภาส่งรายงานไปให้รัฐบาล ศาลรัฐธรรมนูญ  ศาลยุติธรรม  แผนกคดีเลือกตั้งทุกชั้นศาล  กกต. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (ส.ต.ง.)   และผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)   เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการช่วยหลายฝ่าย เพื่อให้รายงานฉบับนี้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเมืองให้เป็นการเมืองที่สร้างสรรค์บ้านเมืองให้ดีขึ้นได้  ทั้งนี้หลังสมาชิกแสดงความคิดเห้นเสร็จสิ้น ที่ประชุมวุฒิสภา เห็นชอบกับรายงานฉบับนี้ เพื่อส่งให้รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ รับทราบ.-314.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

กระดูกเทียมไทเทเนียม นวัตกรรมไทยช่วยทหารกล้าชายแดน

กรุงเทพฯ 16 ส.ค.-สินค้า IP ไทยสุดเลิศ ผลิตกระดูกเทียมและอุปกรณ์ช่วยผ่าตัด ช่วยเหลือทหารแนวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อยอดส่งออกสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยในระยะยาว นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมกับบริษัท เมติคูลี่ จำกัด ผู้ผลิตกระดูกเทียมและอุปกรณ์ช่วยผู้ป่วยผ่าตัด ช่วยเหลือทหารแนวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน 4 ราย ซึ่งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าตามลำดับ เพื่อให้ทหารกล้าของไทยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยเร็ว “ความร่วมมือครั้งนี้ เริ่มจากกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีเยี่ยมผู้ประสบภัย ชายแดนไทย–กัมพูชา เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 จากนั้นได้ประสานกับ เมติคูลี่ ซึ่งได้รับเลือกจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ให้เป็น IP Champion ในสาขาสิทธิบัตรการประดิษฐ์ประจำปีนี้ มอบแผ่นปิดกะโหลกเทียมไทเทเนียมออกแบบเฉพาะบุคคล และกระดูก มือเทียมไทเทเนียมเฉพาะบุคคลให้ทางโรงพยาบาลเพื่อให้นายทหารที่ผ่านการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ 3 ราย และผ่าตัดข้อมือ 1 ราย ได้รับการรักษาที่มีความแม่นยำสูง ด้วยการออกแบบกระดูกที่มีขนาดจำเพาะกับสรีระผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยฟื้นฟูร่างกายได้ดีขึ้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติ โดยกระทรวงฯ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2” […]

“นราธิวาส” จับยาไอซ์ลอตใหญ่ 900 กก. ซุกรถขนผัก

กทม.16 ส.ค.-“ภูมิธรรม” เผย “นราธิวาส” จับยาไอซ์ลอตใหญ่ 900 กก. ซุกรถขนผัก สั่งการเร่งขยายผลต่อเนื่อง พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ว่าจากการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด ในวันนี้ทางจังหวัดนราธิวาสร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ได้มีการแกะรอย และตรวจค้นรถกระบะที่มีการลักลอบขนส่งยาเสพติด บริเวณอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส สามารถตรวจจับยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) ซุกซ่อนอยู่ในรถกระบะขนผัก จำนวน 30 กระสอบ น้ำหนักรวมประมาณ 900 กิโลกรัม และได้ทำการควบคุมตัวตัวผู้ต้องหาไว้ได้แล้ว นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ตนได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อติดตามการดำเนินงานและร่วมแถลงผลการจับกุมในวันที่ 16 ส.ค.นอกจากนี้ยังได้ให้กำลังใจผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด ไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกท่านที่ทำหน้าที่อย่างเข้มข้น ตั้งใจ จนสามารถจับกุมกรณีการลักลอบขนส่งยาเสพติดล็อตใหญ่นี้ได้ และได้ให้ติดตามเพื่อขยายผลการจับกุมต่อไป.-319.-สำนักข่าวไทย

รัฐบาลย้ำเกษตรกรเร่งขึ้นทะเบียน-ปรับปรุงข้อมูลทางทะเบียน รับเงินช่วยเหลือ

ทำเนียบฯ 16 ส.ค. – รัฐบาลย้ำเกษตรกรเร่งขึ้นทะเบียนและปรับปรุงข้อมูลทางทะเบียนปีการผลิต 2568/69 พร้อมรอรับเงินช่วยเหลือตามนโยบายรัฐบาล นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เห็นชอบโครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวของเกษตรกรปลูกข้าวปีการผลิต 2568/69 และนาปรังปีการผลิต 2568 โดยจะจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาต้นทุนการผลิตสูงและราคาข้าวที่ตกต่ำ ซึ่งเกษตรกรที่ทำนาปรังและนาปี จะได้รับเงินหลังจากลงทะเบียนและตรวจสอบสิทธิแล้วเสร็จ ทั้งนี้ คาดว่าจะเกษตรกรที่ทำนาปรังจะได้รับเงินเร็วที่สุดภายในเดือนกันยายน 2568 ส่วนเกษตรกรที่ทำนาปี จะได้รับในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอเชิญชวนเกษตรกรทั่วประเทศ เร่งดำเนินการขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร ประจำปีการผลิต 2568/69 โดยเกษตรกรสามารถขึ้นทะเบียนเกษตรกรผ่านช่องทางการบริการของรัฐโดยไม่มีค่าใช้จ่ายดังนี้ วิธีที่ 1 แจ้งกับเจ้าหน้าที่ สำหรับเกษตรกรรายเดิม แปลงเดิม สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอทุกแห่ง หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความพร้อม และร่วมเป็นหน่วยสนับสนุนที่เกษตรกรมีพื้นที่การเกษตรอยู่ รวมถึงแจ้งข้อมูลผ่านผู้นำชุมชนหรือตัวแทนอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ส่วน เกษตรกรรายใหม่ และรายเดิม แต่เพิ่มแปลงใหม่ […]

“วีระ” เตือน รัฐบาลควรเลิกนโยบายกึ่งการคลัง หลังแบกหนี้ 1 ล้านล้านบาท

รัฐสภา 15 ส.ค.-“วีระ” เตือน รัฐบาลควรเลิกนโยบายกึ่งการคลัง ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หลังแบกหนี้ 1 ล้านล้านบาท ตั้งคำถามหลายรัฐวิสาหกิจมีผลกำไรดี จะมาตั้งของบอีกทำไม นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในเรื่องของรัฐวิสาหกิจ ว่า ในเอกสารงบประมาณที่เป็นงบประมาณรายจ่าย มาตรา 29 มีรัฐวิสาหกิจ 21 แห่งของบประมาณรวมกันทั้งสิ้น 79,298 ล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 1.43 แสนล้านบาท ซึ่งในรัฐวิสาหกิจ 21 แห่งที่ของบประมาณมาตนไม่ค่อยติดใจ เพราะมีรัฐวิสาหกิจจำนวนหนึ่งไม่มีรายได้ อีกส่วนเป็นรัฐวิสาหกิจมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ บางรัฐวิสาหกิจมีหนี้สินจำนวนมาก เช่น ขสมก. การรถไฟแห่งประเทศไทย นายวีระ ฝากไปถึงคนที่ต้องจัดการรัฐวิสาหกิจว่า รัฐวิสาหกิจที่มีปัญหารัฐบาลต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดว่า รัฐวิสาหกิจเหล่านั้นคงอยู่ต่อไปในสภาพแบบนั้น หรือ จะดำเนินการแปรรูปให้เอกชนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อไม่ให้เกิดภาระการคลังในอนาคตอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบัน สำหรับกรณี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการ โดยที่รัฐบาลยังถือหุ้นใหญ่อยู่ประมาณ 40% แต่ไม่มีสถานะภาพเป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป […]

ข่าวแนะนำ

“จิรายุ” ไม่เชิญแล้ว “ไมเคิล” บอก “จบข่าวไม่ต้องมาเหยียบแผ่นดินไทย”

กทม. 17 ส.ค. – “จิรายุ” ยันรัฐบาลเตรียมนำสื่อระดับโลกลงพื้นที่กองกำลังสุรนารี ดูจุดกัมพูชาถล่มพื้นที่พลเรือน ส่วนกรณี “ไมเคิล” บอก “จบข่าว” ไม่เชิญมาแล้ว หลังอ้างตัวเป็น “สื่อประจำทำเนียบขาว” ที่แท้เป็นล็อบบี้ยิสต์ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่ารัฐบาลเตรียมนำสื่อมวลชนระดับโลกลงพื้นที่กองกำลังสุรนารี จังหวัดสุรินทร์ สัปดาห์หน้า ในจุดที่ไทยถูกอาวุธหนักของกัมพูชาถล่ม อาทิ โรงพยาบาล โรงเรียนและพื้นที่พลเรือน จากนั้นจะเชิญสื่อมวลชนระดับโลกไปยังพื้นที่ที่รวบรวมกับระเบิดที่เจ้าหน้าที่เก็บกู้ได้โดย TMAC ก่อนจะให้ชมการปฏิบัติการทำลายวัตถุระเบิดที่ตกค้างจากการรุกล้ำอธิปไตยไทย ส่วนกรณีสำนักข่าวของกัมพูชารายงานข่าวของนายไมเคิล อัลฟาโร ชาวสหรัฐ ที่ไลฟ์สดชายแดนกัมพูชา-ไทย ด้วยการเซตฉากและกล่าวอ้างว่าตนเองเป็นสื่อมวลชนประจำทำเนียบขาวของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา และกล่าวหาประเทศไทย ด้วยถ้อยคำรุนแรง ใส่ร้ายป้ายสีไทยด้านเดียว “สัปดาห์ที่แล้วอยากเชิญนายไมเคิลที่กล่าวอ้างว่าเป็นนักข่าวประจำทำเนียบขาว อยากให้มาเห็นของจริงในฝั่งไทยที่โดนเขมรถล่มหนักแค่ไหน นายไมเคิลมีการไลฟ์สดพูดโกหกใส่ร้ายป้ายสีไทยไปทั่วโลก และบอกว่าตนเองเป็นสื่อรัฐบาลสหรัฐ จะฟ้องประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งตนเห็นว่าหากมาเห็นอีกมุมที่ประเทศไทยโดนกัมพูชาโจมตีทั้งโรงเรียน พื้นที่พลเรือนและโรงพยาบาล ก็เป็นประโยชน์หากเป็นนักข่าวประจำทำเนียบขาวจริง แต่ขณะนี้พบว่านายไมเคิล ไม่ได้เป็นนักข่าวประจำทำเนียบขาวจริง แถมยังแอบอ้างถึงประธานาธิบดีสหรัฐ วันนี้ตนจึงขอบอกว่า “จบข่าว” ไม่ต้องมาเหยียบแผ่นดินไทยต่อไป” นายจิรายุ กล่าว. -สำนักข่าวไทย

ศูนย์ทุ่นระเบิดจบภารกิจหนุนชายแดน เก็บกู้สรรพาวุธตกค้างกว่า 800 ลูก

17 ส.ค. – ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดฯ สิ้นสุดภารกิจวันนี้ (17 ส.ค. 68) หลังสนับสนุนการเก็บกู้ระเบิดจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเก็บกู้สรรพาวุธตกค้างกว่า 800 ลูก ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC สิ้นสุดภารกิจวันนี้ (17 ส.ค. 68) หลังสนับสนุนการเก็บกู้ระเบิดจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 1-16 สิงหาคมที่ผ่านมา TMAC ได้เก็บกู้สรรพาวุธที่ตกค้างกว่า 800 ลูก ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ประกอบด้วย กระสุน BM-21 ลูกปืนใหญ่ ปืน ค จรวด ก่อนหน้าสถานการณ์ตึงเครียด กัมพูชาขัดขวางการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ไม่จริงใจแก้ปัญหา ทั้งที่เป็นประเทศภาคีอนุสัญญาออตตาวา ที่ห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล สำหรับอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี มีบ้านเรือนได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะ 81 หลังคาเรือน […]

ตรวจสอบ รร.ประถม “พระอลงกต” ไม่ปรากฏชื่อ

ขอนแก่น 17 ส.ค.- กองปราบจ่อประชุมคณะทำงานคดี “หมอบี” เชื่อเจ้าตัวไม่หนี ขณะที่ทนายวัดพระบาทน้ำพุเลื่อนแถลงข่าว อ้างเอกสารชี้แจงยังไม่เรียบร้อย ตรวจสอบโรงเรียนประถม “พระอลงกต” ไม่ปรากฏชื่อ กรณีเพจดังตั้งข้อสงสัยวุฒิการศึกษาพระอลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ อ้างว่าปี 2518 ยังเรียน มศ.2 จะจบวิศวฯ ปี 2519 ได้อย่างไร ผู้สื่อข่าวสอบถามแหล่งข่าวในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ให้ข้อมูลว่ากรณีพระอลงกต ระบุว่าจบการศึกษาที่โรงเรียนระดับประถม(นันทวิทยาลัย) ปรากฏว่าไม่มีชื่อโรงเรียนนี้อยู่ในสังกัดสำนักงานเขตของพื้นที่ทั้ง 26 อำเภอ ใน จ.ขอนแก่น หรือถ้ามี ก็อาจจะปิดตัวไปแล้ว   ส่วนระดับมัธยมศึกษานั้น ข้อมูลยืนยันว่า พระอลงกต ศึกษาจบระดับชั้น มศ.2 ที่โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จังหวัดขอนแก่นจริง มีศิษย์เก่าทั้งระดับชั้นเดียวกัน และรุ่นพี่รุ่นน้องต่างยืนยันว่า พระอลงกต จบจากโรงเรียนแก่นนครวิทยาลัยจริง ในปี 2518 แต่ยังสงสัยในระดับปริญญาตรีว่าจะจบจริงหรือไม่   เชื่อ “หมอบี” ยังไม่หลบหนี พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ […]

รวบแล้ว “ลุงคลั่ง” ใช้ไม้หน้าสามตีหลานสาวดับ

ตรัง 17 ส.ค.- ตำรวจ สภ.ห้วยยอด รวบลุงคลั่งใช้ไม้หน้าสามฟาดหลานสาวแท้ๆ เสียชีวิตคาบ้านพัก สารภาพอ้างแค้นใจสะสมมานาน มีปากเสียงบ่อยครั้ง ตำรวจ สภ.ห้วยยอด จ.ตรัง คุมตัวนายสุริยัณห์ อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุใช้ไม้หน้าสาม กระหน่ำตี น.ส.ปาริชาติ หรือน้องเชียร์ อายุ 21 ปี นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 ซึ่งเป็นหลานสาวแท้ๆ ของตัวเองจนเสียชีวิตภายในบ้านพัก จากนั้นหลบหนีขึ้นไปบนเขา คลองมวน  ต.หนองปรือ อ.รัษฎา เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้าปิดล้อมภูเขา ก่อนจับกุมตัวได้พร้อมของกลางไม้หน้าสามเปื้อนเลือด ความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร  สอบสวนนายสุริยัณห์ รับสารภาพว่าลงมือก่อเหตุจริง โดยอ้างว่ามีปัญหากับหลานสาวมานาน มักมีปากเสียงบ่อยครั้ง วันเกิดเหตุได้บุกเข้าไปในห้อง ใช้ไม้หน้าสามฟาดเข้าที่ท้ายทอยของหลานสาว 6–7 ครั้งจนเสียชีวิต ก่อนหลบหนีออกจากบ้าน ผู้ต้องหาระบุว่า เคยทำงานเป็นช่างสักตามเกาะท่องเที่ยว เช่น เกาะพะงัน และเกาะพีพี แต่มีปัญหาจึงกลับมาอยู่บ้าน มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเคยถูกส่งตัวเข้าบำบัดหลายครั้ง ขณะถูกสอบสวนยังสามารถโต้ตอบคำถามได้ปกติ แต่ไม่มีท่าทีสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป สำหรับศพของ “น้องเชียร์” ล่าสุด […]