ยกหูด่วนคุย “ฮุน มาแนต” ร่วมแก้ไฟป่า-หมอกควัน

เชียงใหม่ 11 ม.ค.- นายกฯ เผย บ่ายนี้ยกหูด่วนคุย “ฮุน มาแนต” ร่วมมือแก้ไฟป่า-หมอกควัน แนะ โยกย้ายยุทโธปกรณ์ใช้งานตามความจำเป็น ฝากดูแลความปลอดภัยคนทำงาน แนะนำ ฮ.ฝนหลวงเพิ่มเชียงใหม่


นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เยี่ยมชมจุดจอดอากาศยานกรมฝนหลวงและการบินเกษตรกองบิน 41 ติดตามการปฏิบัติการฝนหลวง แก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM 2.5 พร้อมเยี่ยมชมระบบการทำงานและความพร้อมของเฮลิคอปเตอร์ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร  ก่อนที่นายกฯ จะสอบถามนักบินผู้บังคับอากาศยานเฮลิคอปเตอร์ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ว่า มีเครื่องบินที่ใช้ปฏิบัติการกี่ลำ โดยเจ้าหน้าที่ ตอบกลับว่า ที่จังหวัดเชียงใหม่มี 1 ลำ ที่เหลืออยู่ที่จังหวัดปทุมธานีและจังหวัดอื่นๆ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอแนะนำว่าสถานการณ์ไฟป่าที่จังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงพื้นที่ภาคเหนือและพื้นที่ภาคอีสานค่อนข้างที่จะเกิดขึ้นเยอะ ควรจะโยกเครื่องบินมาที่นี่มากขึ้นหรือไม่ ก็ขอฝากพิจารณา ไม่ได้เป็นคำสั่ง เพราะทุกคนมีข้อมูลและรู้มากกว่าตน


จากนั้นนายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมวกที่ระลึกของกรมฝนหลวงฯ  พร้อมถ่ายภาพหมู่ร่วมกับเจ้าที่ที่ปฏิบัติการฝนหลวงแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM  2.5 ปี 2567

จากนั้นเวลา 12.00 น. นายกรัฐมนตรี เดินทางมาติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาจุดความร้อนพื้นที่ภาคเหนือ และการทำแนวกันไฟ  ที่ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาการควบคุมที่บ้านภาคเหนือ  ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่  โดยมีนายอรรถพล เจริญชันษา  อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและ พันธุ์พืช  รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานป้องกันไฟป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ปี 2567 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ เข้าร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนด้วย

นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามนายปกรณ์ อาภาพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ( GISTDA  )ถึงความร่วมมือทางเทคโนโลยีสารสนเทศกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศกัมพูชา เรื่องของการป้องกันการเผาที่มีผลต่อหมอกควันและค่าฝุ่นละออง หลัง GISTDA ได้ฉายภาพดาวเทียมที่ตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติ จากค่าความร้อนบนผิวโลก หรือจุดฮอตสปอร์ต ในรอบ 20 ปีที่ผ่าน ซึ่งพบว่าจุดความร้อนพบในประเทศเพื่อนบ้านมากกว่าประเทศไทย โดยนายกฯ กล่าวว่า บ่ายวันเดียวกันนี้ ตนจะโทรศัพท์พูดคุยกับสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ด้วยตัวเอง ซึ่งจะรอคอยวันที่ 7 ก.พ.ที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะเดินทางเยือนไทยไม่ได้


จากนั้นนายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายว่า ขอบคุณที่ทุกคนทุ่มเทและเอาใจใส่นำปัญหานี้มาเป็นปัญหาหลัก ในการที่เราจะต้องทำงานกันอย่างบูรณาการ ซึ่งตนได้พูดคุยกันในส่วนของฝั่งไทย โดยทุกฝ่ายทำงานกันอย่างเต็มที่ แต่ในเรื่องของประเทศเพื่อนบ้าน ไม่อยากให้เอามาเป็นเหตุผลในปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะเราเป็นพี่ใหญ่ เพราะเรามีเทคโนโลยีและทรัพยากรเยอะกว่า เราต้องพูดคุยกับเขาได้ ซึ่งการลงรายละเอียดเป็นเรื่องสำคัญ 

“เราต้องพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตนและกระทรวงการต่างประเทศจะไปพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันแก้ปัญหานี้ เพราะเราคือทีมไทยแลนด์ที่จะช่วยกันแก้ปัญหา ขณะที่การใช้ยุทโธปกรณ์อย่างไรก็ไม่พอ ซึ่งตนก็เข้าใจ และคิดว่ายุทโธปกรณ์สามารถโยกย้ายไปใช้ตามความจำเป็นได้ อย่าง 3-4 เดือนข้างหน้า พื้นที่นี้จะต้องเฝ้าระวังอย่างมาก ก็ขอฝากให้ดูแล เรื่องการโยกย้ายยุทโธปกรณ์ด้วย ซึ่งอยู่ในความดูแลของท่านๆ ก็คงจัดการได้ แต่หากไม่ได้อยู่ในความดูแลก็สามารถปรึกษากับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ โดยผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยตนได้ให้นโยบายไปชัดเจนว่าเราต้องช่วยเหลือกัน”นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนจะโทรศัพท์ไปพูดคุยกับผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ว่าเรื่องนี้จะต้องช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ บางครั้งเราทำงานกันหนักมาก ก็อาจจะลืมเรื่องของความปลอดภัย

“ฝากให้ผู้บังคับบัญชาไปดูแลเรื่องความปลอดภัย และเรื่องยุทโธปกรณ์ต้องมีการซ่อมบำรุงให้ดี ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของคนทำงานทุกคน เพราะเรื่องความปลอดภัย ชีวิตความเป็นอยู่และชีวิตจิตใจของเจ้าหน้าที่เป็นเรื่องสำคัญ วันนี้ไม่ใช่วิ่ง 100 เมตรแต่เป็นการวิ่งมาราธอน ก็ขอขอบคุณที่ตั้งเป้าหมาย ให้ฮอตสปอร์ตลดลง 50% ซึ่งผ่านมา 10 วันแล้วก็ถือว่าดีขึ้นเยอะ ทั้งนี้ เราจะพยายามกันต่อไป และประสานงานกันอย่างใกล้ชิด และขอบเขตงานก็ดูแลกันอย่างมีประสิทธิภาพ”นายเศรษฐา กล่าว

ต่อมา นายกฯ ได้เดินชมนิทรรศการการเตรียมความพร้อมป้องกันไฟป่าและหมอกควันปี 2567 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการนำวัสดุเหลือใช้ เช่น ฟางข้าว ข้าวโพด ซึ่งเหลือใช้ทางการเกษตร มายังจุดรับซื้อ เพื่อลดการเผาไม่ให้เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ก่อนจะร่วมทำแนวกันไฟป่ากับเครือข่ายภาคประชาชน และเยี่ยมชมรถสนามเคลื่อนที่ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช.-316.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ประหารชีวิตแอมไซยาไนด์

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์”

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” ส่วนอดีตสามี คุก 1 ปี 4 เดือน “ทนายพัช” คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชดใช้ ให้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

นายกฯ ถกตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก

นายกฯ ถกแต่งตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก ยึดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับใหม่ พลิกโผ ‘สยาม บุญสม’ ผงาดคุมนครบาล ‘สันติ ชัยนิรามัย’ นั่ง ผบช.ปส. ‘ไตรรงค์ ผิวพรรณ’ โยกคุมไซเบอร์ ‘ภาณุมาศ บุญญลักษม์’ ขึ้นเป็น ผบช.สตม.

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้าน

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้านบาท จำนวนนี้พบโอนจาก “บอสพอล-บอสปีเตอร์” ด้วย เร่งขยายผลมีบอสรายอื่นโอนเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหรือไม่

ข่าวแนะนำ

“เอวา” เสือโคร่งสายแบ๊ว ดาวรุ่งดวงใหม่

หน้าตาที่น่ารักบ้องแบ๊วเหมือนแมวตัวโต ตกหัวใจคนรักสัตว์กันไปเต็มๆ สำหรับน้องเอวา เสือโคร่งสายแบ๊วของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วยังมีความสามารถหลายอย่าง จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ ที่ผู้คนแห่ไปชมความน่ารักกันอย่างคึกคัก คาดจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวไปที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ต้อนรับอบอุ่น “โอปอล” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ถึงไทย

กลับถึงไทยแล้ว “โอปอล สุชาตา” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ปรากฏตัวในชุดไทย สวยสง่า แฟนนางงามต้อนรับอย่างอบอุ่น

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

นายกฯ โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์

“นายกฯ แพทองธาร” โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ รับมือความท้าทาย ชูจุดเด่นไทยอยู่ตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีภาคการเกษตรที่เข้มแข็งดึงดูดนักลงทุน บอกกระตุ​้นเศรษฐกิจ​แจกเงินหมื่นเฟส​ 2 พุ่งเป้าเงินสะพัด ลั่น​จุดยืนไทยวางตัวเป็นทูตสันติภาพ พร้อมปรับตัวตามนโยบาย “ทรัมป์”