fbpx

เพิ่มพื้นที่ใช้บัตรปชช.ใบเดียวรักษาทุกที่

ทำเนียบรัฐบาล 10 ม.ค.-โฆษกรัฐบาล แนะใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว ชี้รัฐบาลมุ่งขยายสิทธิบัตร 30 บาทรักษาทุกที่ นำร่อง 4 จังหวัด มั่นใจปชช.เข้าถึงระบบสาธารณสุขทั่วถึง เตรียมแผนระยะที่ 2 เพิ่มเติมอีก 8 จังหวัดภายในมี.ค.นี้


นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมุ่งขยายสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สิทธิบัตรทอง 30 บาท ผ่านโครงการ “30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว”  เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2567 เป็นต้นไป นำร่องใน 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ร้อยเอ็ด เพชรบุรี และนราธิวาส โดยผู้ป่วยสามารถใช้บัตรประชาชนใบเดียวเพื่อเข้ารับการรักษาได้ ไม่ต้องใช้ใบส่งตัวที่หน่วยบริการทุกแห่งในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครอบคลุมทั้งโรงพยาบาลของรัฐ และสถานพยาบาลเอกชน พร้อมปรับระบบ พัฒนาระบบบริการและเชื่อมโยงฐานข้อมูลสุขภาพ อำนวยความสะดวก ยกระดับการส่งเสริมสุขภาพ เพิ่มการเข้าถึงบริการสาธารณสุขให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง

“โครงการดังกล่าวเป็นการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญกับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการรับบริการสุขภาพเมื่อเจ็บป่วยและส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค โดยผู้ที่ต้องการเข้ารับบริการใน 4 จังหวัดนำร่อง คือ  แพร่    ร้อยเอ็ด   เพชรบุรี  และนราธิวาส  มีวิธีและขั้นตอนการเข้ารับบริการตามแนวทางของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียวยื่นแสดงตนต่อหน่วยบริการทุกแห่งที่ขึ้นทะเบียนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ    ทั้งการ Walk-in หรือ นัดคิวออนไลน์ผ่านแอป-ไลน์หมอพร้อม กรณีเด็กเล็กใช้สูติบัตรพร้อมบัตรประชาชนผู้ปกครองรับการดูแลและรักษาตามขั้นตอนของแต่ละหน่วยบริการ  และเมื่อรับบริการเสร็จ ระบบจะบันทึกประวัติการรับบริการโดยอัตโนมัติ   ส่วนกรณีที่ผู้ป่วยต้องรับยา สามารถเลือกรับยาได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ ห้องจ่ายยาของโรงพยาบาล ร้านยาใกล้บ้าน หรือ ส่งยาทางไปรษณีย์     และกรณีผู้ป่วยเดิมและมีนัดรับบริการกับทางหน่วยบริการอยู่แล้ว ให้เข้ารับบริการ ณ จุดที่นัดหมายได้เลย ไม่ต้องตรวจสอบสิทธิและยืนยันตัวตนก่อนเข้ารับบริการ โดยเปลี่ยนเป็นการยืนยันตัวตนหลังรับบริการ   เมื่อผู้ป่วยรับบริการสิ้นสุดที่จุดใด ยืนยันตัวตนที่จุดนั้นได้เลย”  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว


นายชัย กล่าวว่า กรณีเกิดภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติถึงแก่ชีวิต สามารถใช้สิทธิ UCEP   (Universal Coverage for Emergency Patients)   เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ ซึ่งเป็นสิทธิการรักษาตามนโยบายรัฐบาลเพื่อคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตถึงแก่ชีวิตให้สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่ง   ไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชนที่ใกล้ที่สุดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจนพ้นวิกฤติหรือเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย โดยยื่นบัตรประชาชน และแจ้งใช้สิทธิ UCEP

“นอกจากโรงพยาบาลของรัฐ ประชาชนยังสามารถเลือกรับบริการได้ผ่านสถานพยาบาลเอกชนที่ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพฯ อีก 6 ประเภท 1.ร้านยา 2. คลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์ 3. คลินิกเวชกรรม 4. คลินิกทันตกรรม   5. คลินิกการแพทย์แผนไทย  6. คลินิกเทคนิคการแพทย์ ปัจจุบันมีหน่วยบริการเข้าร่วมแล้ว 451 แห่ง ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และตรวจสอบรายชื่อหน่วยบริการเอกชน 4 จังหวัดบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ ได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330, เว็บไซต์ สปสช., ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso   และ Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว  

นายชัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีแนวทางที่จะเตรียมขยายโครงการฯ ระยะที่ 2 เพิ่มเติมอีก 8 จังหวัด ภายในเดือนมีนาคม 2567 ได้แก่ เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สิงห์บุรี สระแก้ว หนองบัวลำภู นครราชสีมา อำนาจเจริญ และพังงา อีกทั้ง สปสช. จะเพิ่มจำนวนร้านยาบริการดูแลเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการ จากปัจจุบันที่มีอยู่ ประมาณ 2,000 แห่ง ให้เป็น 5,000 แห่งภายในปี 2567 นี้ รวมไปถึงหน่วยบริการทั่วประเทศ เช่น คลินิกทันตแพทย์ 5,000 แห่ง คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น 5,000 แห่ง ฯลฯ จะนำเข้ามาในระบบต่อไป  “นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่า โครงการ 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว จะช่วยให้คนไทยทุกคนได้รับการดูแลสุขภาพที่ทั่วถึง มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลตั้งใจยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อให้ประชาชน ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ สามารถเข้าถึงสถานพยาบาลได้ทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชน ช่วยลดความแออัดในแต่ละสถานพยาบาล ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชน เป็นการสร้างรากฐานความมั่นคงทางสุขภาพ ที่จะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนสามารถใช้ศักยภาพที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้ต่อไป” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว.-314.-สำนักข่าวไทย    


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พบศพโบลท์หญิงวัย 47 ในป่าหญ้าริมทาง คาดถูกฆ่าชิงรถ

โบลท์หญิงวัย 47 ปี หายตัวจากบ้านพักย่านดินแดง 9 วัน ล่าสุดพบเป็นศพในป่าหญ้าริมถนนสายนครชัยศรี-ห้วยพลู อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ส่วนรถยนต์โผล่ที่ จ.ภูเก็ต คาดถูกคนร้ายฆ่าชิงรถ

pagers on display

ทำไมยังมีการใช้ “เพจเจอร์” ในยุคสมาร์ทโฟน

ลอนดอน 19 ก.ย.- เพจเจอร์ หรือวิทยุติดตามตัวเป็นอุปกรณ์การสื่อสารยอดนิยมในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ที่ต้องหลีกทางให้แก่โทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากเป็นการสื่อสารทางเดียว แต่ยังคงมีการใช้งานในบางกลุ่ม รวมถึงกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่เพจเจอร์ระเบิดพร้อมกันหลายพันเครื่องทั่วเลบานอนเมื่อวันที่ 17 กันยายน แหล่งข่าวเผยว่า ฮิซบอลเลาะห์ใช้เพจเจอร์ เนื่องจากเป็นช่องทางสื่อสารเทคโนโลยีต่ำ ส่งข้อความผ่านสัญญาณวิทยุ จึงตรวจจับสัญญาณและตำแหน่งได้ยากกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ส่งสัญญาณไปยังเสาส่งที่อยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งไม่มีเทคโนโลยีระบุพิกัดบนพื้นโลกอย่างจีพีเอสด้วย อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ (FBI) ของสหรัฐเผยว่า ในอดีตแก๊งอาชญากรรมโดยเฉพาะแก๊งค้ายาเสพติดในสหรัฐเคยนิยมใช้เพจเจอร์ แต่ขณะนี้หันมาใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินราคาถูกที่สามารถเปลี่ยนเครื่องและหมายเลขได้อย่างง่ายดาย ทำให้เจ้าหน้าที่ติดตามแกะรอยได้ยาก อย่างไรก็ดี  ศัลยแพทย์โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักรเผยว่า เพจเจอร์เป็นอุปกรณ์ที่แพทย์และพยาบาลสังกัดสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติหรือเอ็นเอชเอส (NHS) ต้องพกติดตัวอยู่เสมอ เพื่อรับแจ้งข่าวในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นช่องทางที่ถูกที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแจ้งข่าวทางเดียวกับคนจำนวนมาก เพจเจอร์หลายรุ่นสามารถส่งเสียงไซเรนและมีข้อความเสียงแจ้งให้ทีมแพทย์ไปรวมตัวที่ห้องฉุกเฉินได้ทันที ข้อมูลล่าสุดในปี 2562 ระบุว่า เอ็นเอชเอสใช้เพจเจอร์ประมาณ 130,000 เครื่อง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 10 ของที่ใช้ทั่วโลก คอกนิทีฟมาร์เก็ตรีเสิร์ช  (Cognitive Market Research) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยคาดการณ์ว่า ตลาดเพจเจอร์จะเติบโตร้อยละ 5.9 ต่อปี จากปี 2566 ถึงปี 2573 […]

ข่าวแนะนำ

“อนุทิน” ลุยเชียงใหม่ร่วมบิ๊กคลีนนิ่ง ฟื้นฟูหลังน้ำลด

“อนุทิน” ลงพื้นที่เชียงใหม่ ร่วมทีม จนท.-กู้ภัย-อาสาสมัคร “บิ๊กคลีนนิ่ง” ฟื้นฟูเมืองหลังน้ำลด เร่งจ่ายเยียวยาผู้ประสบภัย