รัฐสภา 10 ม.ค.-“ชัยชนะ” เผย รพ.ตำรวจ ยอมให้ กมธ.ตร. เข้าดูงาน 12 ม.ค.นี้ เล็งขอดูข้อมูลการรับนักโทษ ดูแลเท่าเทียมกันหรือไม่ เหตุใด “ทักษิณ” ต้องรักษาตัวชั้น 14 จี้ ราชทัณฑ์แจงหลังอยู่นานเกิน 120 วัน
นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า โรงพยาบาลตำรวจได้มีหนังสือตอบกลับ อนุญาตให้คณะกรรมธิการเข้าไปศึกษาดูงานที่โรงพยาบาลตำรวจได้แล้ว ในวันที่ 12 มกราคมนี้ เวลา 10.00 น. โดยอนุญาตให้เข้าศึกษาดูงานเยี่ยมชมการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลตำรวจ ที่ชั้น 6 อาคารศรียานนท์ โดยมอบหมายให้พันตำรวจเอกสฤษติ์ พุทธพงศ์ศิริพร ผู้กำกับการฝ่ายยุทธศาสตร์กองบังคับการอำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ เป็นผู้ประสานงานในการศึกษาดูงานครั้งนี้
“เป้าหมายของกรรมาธิการครั้งนี้ ต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลผู้ต้องขัง ตั้งแต่กระบวนการรับผู้ต้องขังเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาล การดูแลผู้ต้องขังเป็นอย่างไร จะได้สอบถามข้อมูลจากผู้ต้องขังทุกคนที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล รวมถึงนายทักษิณ ชินวัตร ด้วย และจะได้สอบถามว่าวิธีการดูแลผู้ต้องขังคนอื่นกับนายทักษิณแตกต่างกันอย่างไร ทำไมถึงได้รักษาตัวอยู่บริเวณชั้น 14” นายชัยชนะ กล่าว
นายชัยชนะ ได้ฝากไปถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขอให้ส่งเอกสารชี้แจงรายละเอียดการรักษาตัวของนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจหลังครบ 120 วัน มาให้กรรมาธิการด้วย ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีเอกสารชี้แจงกลับมา
“ขอให้ทบทวนให้ดี ต้องให้ให้ความร่วมมือกับกรรมาธิการตำรวจ ต้องตอบว่ามีความคิดเห็นอย่างไร กับประเด็นที่เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นจำเลยของสังคม และหากตรวจสอบแล้วพบว่ามีการเอื้ออภิสิทธิ์ชนเกิดขึ้นในโรงพยาบาลตำรวจจริง ก็ต้องดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย และระเบียบที่มีอยู่ เพราะการรักษาตัวของผู้ต้องขังใช้เงิน สปสช. หากอ้างว่าสามารถใช้เงินส่วนตัวได้ ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องชี้แจงให้ได้ตามระเบียบ” นายชัยชนะ กล่าว
นายชัยชนะ กล่าวว่า สำหรับอาการป่วยว่าหนักเบาแค่ไหน คงไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ต้องได้ทราบว่าป่วยเป็นโรคอะไรบ้าง มีนักโทษมากน้อยแค่ไหนที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หรือมีการดูแลผู้ป่วยอย่างไร และต้องดูว่าโรงพยาบาลตำรวจอนุญาตให้ได้มากน้อยแค่ไหน เช่น จะให้พบกับตัวนักโทษหรือไม่ หรือให้ดูจากภาพกล้องวงจรปิด
เมื่อถามว่า หากได้เจอกับนายทักษิณตัวต่อตัวจะพูดอะไร นายชัยชนะ ระบุว่า“ขอให้ถึงวันนั้นก่อน หากพูดวันนี้ ก็คงไม่มีอะไรน่าติดตาม”.-312.-สำนักข่าวไทย