รัฐสภา 5 ม.ค.-“วิโรจน์” สาวไส้งบ ศธ. หลังคะแนน PISA ไทยรั้งท้าย ต่ำสุดในรอบ 20 ปี นับวันยิ่งถ่างออกจากประเทศกลุ่มพัฒนาแล้ว ลั่นอยู่ในยุค รมต.ชื่อเพิ่มพูน แต่การศึกษาถดถอย สาละวันเตี้ยลง
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 สัดส่วนกระทรวงศึกษาธิการ โดยกล่าวถึงโครงการประเมินผลนักเรียนระหว่างประเทศ หรือ ปิซา PISA ที่สะท้อนถึงดัชนีชี้วัดคุณภาพคน การศึกษา และขีดความสามารถของประเทศ ระบบคุณภาพการศึกษา ไม่ใช่แค่การสอบแข่งขันหรือชิงรางวัล ซึ่งปรากฏว่าผลการทดสอบ PISA ปี 2022 ที่ผ่านมา ไทยยังอยู่ในกลุ่มรั้งท้ายเหมือนเดิม แต่ที่น่าตกใจคือไทยได้คะแนนต่ำสุดในรอบ 20 ปี ทั้งการอ่าน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
นายวิโรจน์ กล่าวว่า เราเข้าร่วมการทดสอบตั้งแต่ปี 2000 ผ่านมา 20 กว่าปีแทนที่สอบแล้วจะได้คะแนนดีขึ้นนับวัน มีแต่สาละวันเตี้ยลง หัวทิ่มลงไปเรื่อย ๆ แบบโงหัวไม่ขึ้น หนำซ้ำผลต่างคะแนนระหว่างประเทศไทยกับประเทศ OECD หรือกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว นับวันจะทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ เหมือนเข้าสอบไปอย่างนั้น ไม่อ่านหนังสือ 20 กว่าปีจมปลักอยู่กับปัญหาเดิม จนรัฐบาลมองปัญหากลายเป็นเรื่องปกติแล้ว หลอนตัวเองว่าการศึกษาแบบนี้เป็นอัตลักษณ์ของประเทศไปแล้ว จึงถือเป็นวิกฤติระบบการศึกษา
“ยิ่งฟังการให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีศึกษาธิการ ยิ่งต๊กกะใจ และยืนยันว่าเราอยู่ในภาวะวิกฤติจริง ๆ คงไม่เทียบกับมาตรฐานประเทศอื่น นี่เป็นปัญหาที่คนระดับรัฐมนตรีมองปัญหาไม่เป็นปัญหา แต่เป็นสไตล์ จึงไม่แปลกใจที่งบกระทรวงศึกษาในปีหกเจ็ดจะเป็นงบที่ทำงานแบบเดิมๆ ถ้าคาดหวังการเปลี่ยนแปลงอะไรก็คงจะยากลำบาก ทุกวันนี้การศึกษาไทยไม่ใช่แค่เดินตามประเทศอื่น แต่เรากำลังเดินหลงทาง เดินตามหลังแย่นะ มองไปข้างหน้าก็ยังเจอผู้เจอคน อาจจะถึงช้าหน่อย แต่ก็ยังไปถึงจุดหมาย แต่ที่รัฐมนตรีบอกว่าของเราเป็นตัวเราเอง นี่คืออะไรรู้หรือไม่ คือมองข้างหน้าก็ไม่เจอใคร มองไปข้างหลังก็ไม่เจอคน มองซ้ายเจอฮวงซุ้ย มองขวาเจอป่าช้า แต่ยังจะเดินหน้าต่อไป ยิ่งเดินต่อเสบียงก็ร่อยหรอ ยิ่งเดินเข้ารกเข้าพง เหมือนใช้งบไปเรื่อยๆ แต่ไม่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่วว่า ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่มีรัฐมนตรีชื่อเพิ่มพูน แต่การศึกษาไทยถดถอยล้าหลัง พร้อมชี้ให้เห็นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เมื่อเปรียบเทียบคะแนนระหว่างโรงเรียนสาธิต ที่สังกัดฃ อว. กับโรงเรียนที่อยู่ในสังกัด สพฐ. นับวันมีแต่จะถูกถ่างให้กว้างขึ้นเรื่อย ๆ เพราะโรงเรียนสาธิตสามารถออกแบบหลักสูตรได้เอง ในขณะที่โรงเรียน สพฐ. มีจำนวนไม่น้อยที่เต็มไปด้วยอำนาจนิยมและการบูลลี่ มีวิชาที่บังคับให้เรียน เรียนเยอะสอบแยะ นับวันจะมีแต่ดึงเด็กออกมานอกห้องเรียน เพื่อมาทำกิจกรรมสร้างหน้าสร้างตาให้ผู้บริหารสถานศึกษา รอคนส่วนกลางมาตัดริบบิ้น และการบูลลี่ในโรงเรียนยังส่งผลเสียต่อการสอบ PISA ในวิชาวิทยาศาสตร์ 35-55 คะแนน แต่ในงบ ปี 67 ตนไม่เห็นงบที่จะใช้แก้อำนาจนิยมและการบูลลี่ในโรงเรียน เท่ากับว่ารัฐบาลจะปล่อยให้มีการบูลลี่กันต่อไป แก้กันแบบตามมีตามเกิด
นายวิโรจน์ ชี้ให้เห็นถึงงบดำเนินงานและรายจ่ายอื่น ๆ ที่ถือเป็นตัวแสบที่สุด กว่า 8,256 ล้านบาท ซึ่งแฝงไปด้วยโครงการที่ไม่จำเป็นและทับซ้อนกับกระทรวงอื่น ซึ่งบางโครงการอาจมีการหวังเงินทอนด้วย เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าจากวงเงินต้องสงสัยนี้ ตัดได้อย่างน้อย 2,117 ล้านบาท สำหรับวิกฤติโรงเรียนขนาดเล็ก ที่ประสบปัญหางบไม่พอ ขาดแคนสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ แต่กระทรวงศึกษาไม่เคยคิดแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง เหมือนป่วยเป็นโรคร้ายแต่ให้กินแค่พารา ปล่อยให้ลุกลามตายไปเองตามยถากรรม การควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กไม่เป็นไปตามเป้า สะท้อนว่ารัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหานี้เลย
นายวิโรจน์ ได้คำนวณว่าถ้าวิกฤติการศึกษายังเป็นแบบนี้ ต้องรออีก 91 ปีกว่าจะแก้ปัญหาได้ต้องถูก PISA ประจานอีก 30 รอบ ถ้าเราไม่กล้าที่จะแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กอย่างจริงจัง ไม่มีวันที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยได้เลย เพราะเหตุที่ PISA เราตกต่ำ ก็มาจากโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งหากใส่ใจการบริหารงบและแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กรัฐบาลจะมีงบให้จัดสรรกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท พร้อมแนะนำให้นำเงิน 4000 ล้านบาท ไปเป็นงบอุดหนุนเฉพาะกิจให้กับ อบจ. ทั่วประเท เพื่อให้บริการรถรับส่งนักเรียนภายในจังหวัดและอีก 6600 ล้านบาท ไปเพิ่มงบให้กับ กสศ. ให้เด็กยากจนพิเศษ 1.3 ล้านคน ไม่ให้หลุดออกจากระบบการศึกษาและยังเหลือจัดสรรอีก 4502 ล้านบาท
“รัฐบาลบอกกับประชาชนอยู่ตลอดเวลา ว่าประเทศกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ผมก็เห็นว่ามันวิกฤตจริงๆ ไหงจัดงบออกมาแบบนี้ งบแบบนี้เหมือนกำลังบอกให้พ่อแม่บอกลูกหลานของตัวเองเรียนหนังสือแบบเดิมๆ ในระบบการศึกษาที่สิ้นหวัง ยอมจำนนให้กับอำนาจนิยมและการกดขี่ ยอมให้หลักสูตรที่ไม่ได้ปรับปรุงเป็นหลักสูตรล้างสมอง ขโมยชีวิตไปอย่างสูญเปล่า สุดท้ายเด็กๆ ต้องเติบโตมาไม่กล้าคิด ไม่กล้าฝัน ไม่กล้าแม้แต่จะคิดตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจ เป็นแค่บ่าวไพร่คอยฟังคำสั่งของผู้เป็นนาย แล้วก็ค่อยๆ แก่ตัวตายจากไปในประเทศที่ต้องคำสาปแห่งนี้ และนี่เป็นเหตุผลที่ผมไม่สามารถเห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ได้” นายวิโรจน์ กล่าว.-312.-สำนักข่าวไทย