ทำเนียบรัฐบาล 27 ธ.ค.-นายกฯ รับไม่มีความสุขหลังค่าแรงขึ้นน้อย ถามกลับไตรภาคี ให้นึกถึงใจเขาใจเรา ไม่เอาเรื่องกฎหมายมาคุยอย่างเดียว
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์หลังเป็นประธานการประชุมกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 2/2566 ถึงกรณีที่ไม่เห็นด้วยกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ว่า ต้องพิจารณาตามบริบทของโลกที่เปลี่ยนไป เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดเวลา และเชื่อว่าทุกท่านก็เห็นอยู่ว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก หลายๆเรื่องที่จะดึงผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาในประเทศก็มี War of Talent มันคือสงครามที่ดึงคนเก่ง ขณะเดียวกันสมัยก่อนเวลาออกไปดึงดูดนักลงทุนไม่มีใครพูดเรื่องพลังงานสะอาดเลย แต่วันนี้เรื่องนี้กลับมามีความสำคัญ
ส่วนที่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีถูกล็อกด้วยธรรมนูญจะมีการทำอย่างไรนั้น เห็นว่ามันกว้าง มันมีขอบเขตพื้นที่ให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำยังไม่จบ ซึ่งเมื่อวานนี้หลังจากประชุมครม. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้แจ้งไปแล้วในเบื้องต้น ซึ่งจะต้องดูแลแต่ละอาชีพแตกต่างกันออกไป
“ผมไม่มีความสุข ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก็ไม่ได้มีความสุขและอึดอัดเช่นกัน แต่ยอมรับว่า มันก็มีกลไกในการกำหนดค่าแรงอยู่ อย่างที่ผมบอกว่ามันเป็นเรื่องจิตใต้สำนึกความเหมาะสม ของแต่ละประเทศ ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ได้เจอกับ นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย ยังบอกกับผมว่าถ้าเกิดไม่สามารถยกค่าแรงขั้นต่ำ ความเจริญเติบโตของประเทศก็จะต่ำไปด้วย ซึ่งเมื่อคืนได้มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ค่าแรงขั้นต่ำเมื่อ 9 ปีที่ผ่านมา 300 บาท วันนี้ 337 บาท ขึ้นไป 12% ซึ่งได้เปรียบเทียบ ว่าในทางกลับกัน หากลูกของผู้ประกอบกิจการทั้งหลาย หรือคนที่เรียนจบเมืองนอกเมื่อ 9 ปีที่แล้วเงินเดือน 30,000 บาท มาถึงวันนี้เงินเดือนขึ้นเพียง 33,700 บาท จึงถามกลับว่า ขึ้นมาแค่กว่า 10% แฮปปี้ไหม อยากให้นึกถึงใจเขาใจเรา เรื่องของไตรภาคีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องของกฎหมายและข้อบังคับก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หลายหลายเรื่องคนไทยอยู่ด้วยกัน ด้วยความอยากให้ทุกคนมีความสุข และมีกินมีใช้ตามความเหมาะสม
“พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ค่าแรงขึ้นไปเพียงแค่ 2 บาทต่อเดือน ซึ่งทุกคนจะพูดว่าตนหรือนายกไม่มีอำนาจ แต่การขึ้นค่าแรงมันเป็นเรื่องของไตรภาคี ส่วนตัวเข้าใจหมดทุกอย่าง แล้วก็รู้ว่าทุกคนเข้าใจเรื่องกฎหมาย แต่เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมันไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย จึงอยากให้เอาความเข้าใจซึ่งกันและกันมาพูดคุยกันได้ไหม ในภาวะที่เดือดร้อน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าเงื่อนไขในเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนายกไม่มีอำนาจกับไตรภาคี ซึ่งจะมีการหารือกันแบบผู้ใหญ่คุยกับผู้ใหญ่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องพยายามต่อไป ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งก็ต้องพูดจาให้มันมีความชัดเจนและต้องขอร้องอ้อนวอน วิงวอน ถึงเหตุผล แล้วอย่าเอาเรื่องที่ไม่เป็นความจริงมาพูด เช่นประเด็นการย้ายฐานการผลิตมาพูด เพราะมันไม่ใช่
เมื่อถามว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในแต่ละปีสามารถขึ้นได้หลายหลายรอบใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สามารถปรับได้หลายรอบตามความเหมาะสม จากที่ผ่านมาเราเคยพูดรายจังหวัดรายอำเภอ ซึ่งบางอำเภอนั้น ก็อาจจะมีความต้องการแรงงานที่แตกต่างกันออกไป เราเองก็ต้องฟังจากฝั่งนายจ้างเช่นเดียวกัน ไม่ใช่จะไม่ฟัง และต้องฟังตามอาชีพตามความต้องการตามความชำนาญด้วย ซึ่งมีหลายมิติที่จะต้องพูดคุยกัน ส่วนตัวไม่ได้อยากใช้พื้นที่ของสื่อมวลชนมากดดันทุก ๆ ฝ่าย เราควรพูดจากันด้วยจิตใจอุปมาปราศรัย เราก็เห็นใจซึ่งกันและกัน
ส่วนความคาดหวังกับเศรษฐกิจในปีหน้าอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หวังว่าจะดีขึ้น ตนมาทำงาน และมาอยู่ตรงนี้ เพื่อต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ให้ดีขึ้น ก็ต้องทำให้ดีขึ้นในหลายหลายมิติตนไม่ได้มาทำแค่ เรื่องค่าแรงขั้นต่ำอย่างเดียว ยังต้องดูเรื่องการลงทุน การเจรจา สนธิสัญญาการค้า และต้องดูเรื่องสิทธิพื้นฐาน เพศสภาพ การประกอบอาชีพ หรือแม้กระทั่งสิทธิเสรีภาพเล็ก ๆ เช่นเรื่องของสภาพอากาศที่สะอาด ซึ่งทุกคนล้วนต้องการสิ่งเหล่านี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากวันหยุดปีใหม่ นายกรัฐมนตรียังมีกำหนดการที่จะเดินทางไปพื้นที่ภาคเหนือ ไปช่วยกำกับ ว่า เรื่องสภาพอากาศต้องดีขึ้น ซึ่งมีหลายมิติที่ต้องทำ ทั้งนี้หลังปีใหม่ ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายใหม่ ที่จะต้องช่วยทำงานและช่วยดูแลพี่น้องประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น.-312.-สำนักข่าวไทย