รัฐสภา 14 ธ.ค. – “ปดิพัทธ์” แจงปิดประชุมสภาฯ ทำตามแนวปฏิบัติเดิม เหตุองค์ประชุมไม่ครบ ย้ำหลักการเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้ทราบการทำงานของประธานทุกคน
นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 กล่าวชี้แจงถึงการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร หรือ “ร่างข้อบังคับสภาก้าวหน้า” ซึ่งองค์ประชุมในการพิจาณาไม่ครบองค์ประชุม จึงสั่งปิดการประชุม โดยกล่าวว่า เมื่อวานนี้ (13 ธ.ค.) การพิจารณามีปัญหาในเรื่องของการลงมติไม่ครบองค์ประชุม ในการเช็กองค์ประชุมนั้นมีจำนวนครบเกินกึ่งหนึ่ง แต่เมื่อลงมติ ไม่กดลงคะแนน ทำให้คะแนนรวมไม่ถึง 250 กึ่งหนึ่งของสภาฯ
หลังจากนั้นมีการถกเถียงกันว่าองค์ประชุมในการโหวตจะเป็นแบบใดกันแน่ จะใช้จำนวนกึ่งหนึ่งของ สส.ทั้งหมดของสภาฯ หรือกึ่งหนึ่งของสมาชิกที่มาแสดงตน เมื่อไปดูบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 120 วรรค 1 ว่า “การประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของสภาจึงจะนับเป็นองค์ประชุม” ในส่วนของข้อบังคับของสภาผู้แทนราษฎร ข้อที่ 25 วรรค 2 กำหนดว่า เมื่อสมาชิกลงชื่อมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา จึงจะเป็นองค์ประชุม
เรื่องต่อมาคือแนวทางในการตัดสิน คือแนวทางการตัดสินของประธานรัฐสภาคนก่อน นายชวน หลีกภัย ถ้าหากจำกันได้จะมีการเช็กชื่อในที่ประชุมหลายครั้ง แต่ไม่ได้แสดงมติ เมื่อมีคะแนนผลรวมทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล และการออกเสียงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย รวมกันแล้วไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ที่มีอยู่ ประธานสภาฯ ในสมัยนั้นก็ตัดสินใจปิดการประชุม หากพูดให้ถูกคือ องค์ประชุมจะต้องอยู่เพียงพอ ทั้งการลงชื่อเพื่อลงมติและการลงมติจริง จะต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด นี่คือเจตจำนงที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และเป็นแนวทางของสภาที่ได้ปฏิบัติมาตั้งแต่ชุดก่อน
นายปดิพัทธ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า ตนเข้าใจดีว่าอาจจะต้องมีการประลองกำลังกันบ้า แต่ความแม่นย่ำทางกฎหมาย หลักการจะต้องเป็นเรื่องที่ถูกสื่อสารอย่างชัดเจน เพื่อให้ทั้งพี่น้องประชาชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเจ้าหน้าที่ ได้ทราบแนวตัดสินของประธานรัฐสภาทั้ง 3 ท่าน.-314-สำนักข่าวไทย