นิด้า 7 ธ.ค.- นายกฯ ปาฐกถาพิเศษ “อนาคตเศรษฐกิจไทย” ต้องจับต้องได้-พยายามลดค่าใช้จ่ายประชาชน หวังพักหนี้เกษตรกรครั้งสุดท้าย แจงออก พ.ร.บ.เงินกู้ เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน วอนเอกชนไทยช่วยลดช่องว่างการศึกษา
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐถกาพิเศษ ในหัวข้อ “อนาคตเศรษฐกิจไทย” ในงานสัมมนาวิชาการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) ว่า ขอพูดถึงอนาคตเศรษฐกิจไทยที่จับต้องได้ ไม่ได้เป็นการวาดภาพที่สวยหรูเกินเหตุ หรือพูดไปแล้วอาจจะทำลำบาก ซึ่งเป็นที่ทราบอยู่แล้วว่า ช่วงที่ตนได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดย 10 ปีที่ผ่านมาลำบากมาก และตอนนี้ยิ่งลำบาก ทั้งการแข่งขันในเวทีโลก สงครามการค้า และสถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้นในโลก สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจของโลกเป็นอย่างดี
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ตนเข้ามารับตำแหน่ง รัฐบาลมีนโยบายหลากหลาย โดยสิ่งแรก เน้นเรื่องลดค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน ซึ่งไม่ใช่การหาเสียง ทั้งปัญหาค่าน้ำ ค่าไฟ การพักหนี้เกษตรกร ซึ่งมีอยู่หลายสิบล้านคน โดยช่วง 9 ปีที่ผ่านมามีการพักหนี้ไป 3 หน และเรื่องนี้ต้องยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นเรื่องที่หนักใจ อยากจะบอกว่า อยากพักหนี้เป็นครั้งสุดท้าย แต่พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะในส่วนของตนในฐานะที่เศรษฐกิจจับต้องได้ ยังไม่มั่นใจว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ แต่ความตั้งใจของรัฐบาลอยากให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้น เรื่องการพักหนี้เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับปัญหาเรื่องค่าไฟ ที่ตอนแรกรัฐบาลปรับลดมาที่หน่วยละ 3.99 บาท กำลังจะกลับไปที่ราคา 4.68 บาท ถ้าเป็นราคานั้นก็รับไม่ได้ จึงจะต้องดู จะพยายามให้อยู่ที่หน่วยละ 4.10 บาท ส่วนเรื่องมาตรการเร่งด่วน หรือควิกวิน รัฐบาลเน้นเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นภาคส่วนสำคัญในการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ส่วนระยะยาว การสนับสนุนเรื่องของเมืองรอง ถือเป็นมาตรการระยะยาวเป็นเรื่องสำคัญ เช่น ที่อุดรธานี บึงกาฬ มีศิลปวัฒนธรรมและมีขนบธรรมเนียมประเพณีหลายอย่างที่คนไทยหรือชาวต่างชาติควรทราบ
“แต่น่าเสียดายที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังไม่ให้ความสำคัญเท่าไหร่ จึงสั่งการให้ทำในส่วนนี้มากขึ้น โดยสรุปเรื่องของเมืองรองจะเป็นแผนงานที่จะทำให้เกิดขึ้นในระยะกลางและยาว โดยหลายคนพูดกันไว้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นประเด็นสำคัญ เข้าใจว่าก่อนโควิด 42 ล้านคน แต่ปีนี้ 25 ล้านคน และมีแนวโน้ม 27 ล้านคน แต่สิ่งสำคัญคือ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่สูงขึ้นต่อหัว และระยะเวลาที่อยู่ในประเทศนี้เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งหากเทียบกับคนที่ไปเที่ยวฝรั่งเศส ไปอีกครั้งหนึ่งเป็นสัปดาห์ ขณะที่โดยเฉลี่ยมาที่เมืองไทยเพียง 3 วัน จะเห็นได้ว่าระยะเวลาในการอยู่นานเป็นเรื่องสำคัญกว่า” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งด้าน Soft Power ล่าสุดยูเนสโกขึ้นทะเบียน “สงกรานต์ไทย” เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ปีหน้าเราจะฉลองสงกรานต์ทั้งเดือน และเชื่อว่าขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของไทยเป็นสิ่งดีงามที่ต่างชาติอยากทราบ และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะสนับสนุนในเรื่องเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีหลายอย่างที่อยากสนับสนุน และเป็น Soft Power ที่สำคัญ เช่น มวยไทย ซึ่งที่ประเทศอังกฤษมีค่ายมวยไทยอยู่ถึง 6,000 ค่าย ถ้าเราทำให้ดี เชื่อว่าเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยให้คนมาฝึกเรียนมวยไทย เพราะทั้งนักกีฬา ดารา นักร้องต่าง ๆ ที่มาเมืองไทย ก็มาฝึกมวยไทยที่ภูเก็ต ถือว่าเป็น Soft Power กระตุ้นเศรษฐกิจระยะกลางและระยะยาวได้
“ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญเรื่องการลงทุน โดยเฉพาะจากเดิมตลอดเวลา 9 ปีที่ผ่านมา เราไม่มีตัวตนเลยในโลกเรื่องการเจรจา FTA ขณะนี้เวียดนามแซงเราไปแล้ว เพราะเราไม่มีสนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศ จึงเป็นภาระที่รัฐบาลจะต้องนำเรื่องนี้กลับมา เพื่อให้ไทยเป็นแหล่งการผลิตอุตสาหกรรมที่ทันสมัยและส่งออกไปประเทศต่าง ๆ ได้ การลงทุนจากต่างชาติเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน เรื่องของพลังงานสีเขียว หรือพลังงานสะอาด ในประเทศไทยยังมีมาก ขณะที่สิงคโปร์ไม่มีแล้ว ในขณะนี้ลาวขอให้ไทยประสานขายพลังงานสะอาดให้สิงคโปร์ แต่ตนเห็นว่า หากเจรจาขายให้สิงคโปร์ ก็จะกลายเป็นคู่แข่งของไทย จึงปฏิเสธไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาได้พยายามยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยนโยบายหลักของตนที่จะเสนอ พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าหลายคนอาจจะเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ 1 แสนล้านที่จะไปให้กับกองทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ โดยเฉพาะเทคโนโลยีไมโครชิป มาผลิตในประเทศไทย ซึ่งศูนย์กลางการผลิตเทคโนโลยีไมโครชิป อยู่ที่จีนและไต้หวัน แต่ประเทศไทยไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งของใคร เป็นมิตรกับทั้งจีน ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งตนมีสายตรงถึงรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐอเมริกาที่เป็นเจ้าภาพ สามารถกำหนดจุดการเปิดโรงงานไมโครชิปได้ ซึ่งกองทุนดังกล่าวถือเป็นการแก้ปัญหาระยะกลางของไทย ที่จะต้องสำรองไว้เพื่ออุดหนุนผู้ลงทุนด้วย
“สำหรับการอบรมในหลักสูตร วบส.นี้ หากผู้อบรมใช้คอนเนคชันให้เป็นประโยชน์ ใช้ความรู้ความสามารถในทางที่ถูกต้อง ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่หากใช้เรื่องเหล่านี้วางตนเหนือผู้อื่น ใช้ทรัพยากรของรัฐโดยไม่ถูกต้อง ก็ถือเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ เพราะมีหลายหลักสูตรที่มีผู้ไปอบรมแล้ว ปฏิบัติตัวไม่ถูกต้อง ดังนั้น เมื่อได้เป็นบุคคลพิเศษ เป็นบุคคลที่ได้รับเกียรติจากสถาบันที่มีเกียรติ มาพบปะสังสรรค์ ทำกิจกรรมร่วมกัน จึงขอให้ช่วยทำประโยชน์ให้สังคมด้วย แม้บางคน จะบอกธุรกิจของตนเล็ก ช่วยสังคมไม่ได้ แต่ความประพฤติของทุกคนก็มีส่วนช่วยเหลือได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี สอบถามผู้เข้าอบรมที่เคยไปศึกษาดูงานต่างประเทศหลายครั้งว่า ผู้เข้าอบรมเคยไป จ.หนองบัวลำภู บ้างหรือไม่ ซึ่งหากได้ไปก็จะทราบว่า สังคมมีความเหลื่อมล้ำอย่างไร และยืนยันว่า ตนมีความตั้งใจจริงที่จะลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม พร้อมวิงวอน อ้อนวอนผู้เข้าอบรมทุกคนที่มีต้นทุนสูงทางสังคม ช่วยลดช่องว่างความไม่เท่าเทียมในสังคม
นายกรัฐมนตรี ยังได้ตอบคำถามของผู้เข้าอบรมที่สอบถามถึงเรื่องอัดอั้นตันใจ และจะอยากขับเคลื่อนที่สุดเมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำ โดยได้ยกตัวอย่างเรื่องของการศึกษา ที่หลายคนบอกว่า การศึกษาไทยห่วย ครูไทยสอนไม่ดี แต่ก็ไม่มีการแก้ปัญหา แต่บางคนก็มีโอกาสไปเรียนต่อต่างประเทศ เช่นเดียวกับลูกของตน แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา ซึ่งในสมัยที่ตนยังเป็นผู้บริหารแสนสิริ เคยได้มอบเงิน 100 ล้านบาท ให้กับ จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดที่พรรคเพื่อไทยไม่มี สส. เพื่อหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน ให้จังหวัดไปพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ ดึงคนที่หลุดจากระบบการศึกษากลับเข้าระบบ
นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้เข้าอบรมถึงการแก้ปัญหาการศึกษาไทย หลังผล PISA เปิดเผยการวัดผลนักเรียนไทยได้คะแนนต่ำสุดในรอบ 20 ปี ว่า จะต้องแก้ปัญหาระยะยาว เริ่มตั้งแต่การแก้ปัญหาหลักสูตร เพราะหลายหลักสูตรไม่ตรงกับความต้องการของตลาด และต้องนำเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษากลับเข้าระบบ พร้อมวิงวอนให้ภาคเอกชนได้ช่วยกันสนับสนุนเงินบริจาคให้กับระบบการศึกษาไทย เพื่อยกระดับประเทศ เพราะเศรษฐีในสหรัฐอเมริกาสนับสนุนเงินให้กับสถาบันการศึกษาหลายแห่ง จนระบบการศึกษามีความแข็งแกร่งมาก
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการพบปะผู้นำต่างประเทศ รวมถึงการไปรับประทานอาหารร่วมกับนักธุรกิจ ว่า เป็นเรื่องปกติ ยืนยันว่าสามารถป้องกันผลกระทบต่อประเทศได้
ทั้งนี้ มีรายงานว่า หลักสูตรดังกล่าวนี้ นางพักตร์พิไล ทวีสิน ภริยานายกรัฐมนตรี เคยเข้าร่วมการอบรมในรุ่นที่ 4 ด้วย แต่ในวันนี้ (7 ธ.ค.) ไม่ได้เดินทางมาร่วมงานด้วย.-312.-สำนักข่าวไทย