พรรคก้าวไกล 24 พ.ย.-“รังสิมันต์” จี้ “เศรษฐา” แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง หลังเปิดประเด็นตั๋วเพื่อไทย รอฟังเข้าแจง กมธ.สภาฯ บอก ผิดหวังกับ รบ. ที่นายกฯ ยังเข้ามาแทรกแซงได้
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวภายหลังการแถลง ก้าวไกล Policy Watch ‘หยุดระบบตั๋วและปฏิรูปตำรวจไทย’ ถึงกรณีที่จะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยกระดุม 5 เม็ด สำหรับการปฏิรูปองค์กรตำรวจ ไปนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการการตำรวจหรือไม่ ว่า ใน กมธ.ตำรวจก็มีคนของก้าวไกลอยู่ แนวทางนี้จะทำเสนอข้อเรียกร้องต่างๆ ไปในทุกๆ กมธ. อยู่แล้ว เชื่อว่าจะนำไปสู่การปฏิรูปตำรวจจริงๆ ทั้งนี้ ตนเองก็เคยพูดเรื่องนี้กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แต่เข้าใจว่าบางข้อก็ได้รับการตอบสนอง อย่างเรื่องการยกเลิกมาตรการทรงผมตำรวจ ที่ได้เรียกร้องไปก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น การใส่แว่นตาดำ ซึ่งอยากให้ ผบ.ตร. ควรโฟกัสเรื่องการทำงาน อะไรที่เป็นเรื่องเลฌกน้อย ถ้าไม่หนักหนาจนเกินไป อย่าไปสนใจ โฟกัสกับการทำงานเพื่อประชาชนดีที่สุด
ส่วนกรณีตั๋วเพื่อไทยมีรายละเอียดเพิ่มเติมหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ถ้าฟังจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งหมด ที่ตอนนี้ใช้วิธีการเงียบ ขณะนี้ข้อมูลที่ตนได้รับค่อนข้างยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า ‘ตั๋วการเมือง’ มีแน่ เดี๋ยวคงจะได้เห็นกันว่า มีมากน้อยแค่ไหน หลังจากโผออกมา ตนไม่ได้เป็นคนเห็นโผ จึงยังตอบไม่ได้ว่า สุดท้ายจะจบแบบไหน แต่ถ้าโผออกมา คงจะเห็นความชัดเจน
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า แต่ถ้าตอบคำถามว่า ‘ตั๋วเพื่อไทย’ จะเป็นไซต์ไหน ตนขอจัดตั๋วเอาไว้ 5 ประเภท คือ ตั๋วช้าง, ตั๋วสร.1 หรือตั๋วนายกฯ, ตั๋วผบ.ตร., ตั๋วนาย และตั๋วอื่นๆ ที่ยังไม่สามารถจัดประเภทชัดเจนได้
“ประเด็นคือ ตั๋วสร.1 มากแค่ไหน ก็เกือบจะที่สุด เนื่องจากโดยมากแล้ว เป็นสิ่งที่ถ้าขอก็มักจะได้ ขึ้นอยู่กับว่า สร.1 จะเอาแค่ไหน บางครั้งอาจจะจดว่าคนนี้ต้องได้ บางครั้งก็อาจจะจดว่าคนนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าตั๋วเพื่อไทยในรอบนี้ นายกฯ ทำแบบไหน คงต้องติดตามกัน ในวันที่ 7 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะมีการเชิญนายกฯ เข้ามาชี้แจงต่อ กมธ.ความมั่นคงฯ” นายรังสิมันต์ กล่าว
ส่วนลักษณะการตรวจสอบ ระหว่าง “ตั๋วสร.1” และ “ตั๋วเพื่อไทย” จะมีการเฉพาะเจาะจงไปในพื้นที่ของ สส. พรรคเพื่อไทยหรือหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวย้ำว่า รอดูโผก่อนดีกว่า ตนรอฟังจากแหล่งข่าวภายใน ยังไม่อยากสรุป แล้วจึงค่อยนำมาเทียบกัน ถ้ามีคำชี้แนะจากคนทั้งหลายที่อยู่ตามองค์กรตำรวจมาเป็นแนวทางว่า ควรจะดูที่ตรงไหน ก็จะช่วยให้เราตรวจสอบ และทำงานได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ การแสดงท่าทีต่อความรับผิดชอบของนายกฯ ควรมีมาตรฐานและทำอย่างไรบ้าง เนื่องจากการชี้แจงที่ผ่านมายังไม่มีความชัดเจน และทำให้บางฝ่ายเรียกร้องให้ลาออก นายรังสิมันต์ มองว่า คำพูดของนายกฯ ชัดเจนว่า หมายถึงเรื่องตั๋ว และตนเองก็เกี่ยวข้องกับการฝากตั๋ว โดยที่มาก็อาจจะมาจาก สส.ของพรรคตัวเอง แบ่งได้สองทางคือ 1.คำพูดของนายกฯ น่าเชื่อถือ เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งตนก็มองไปในทิศทางนี้ว่า นายกฯ คงจะรู้ว่า ใครสมหวัง หรือไม่สมหวัง จึงสามารถพูดได้ และหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย
2.ถ้านายกฯ ประกาศต่อสังคมว่า โกหก ตนเองไม่น่าเชื่อถือ ต้องการแค่อวดรู้ ต้องการพูดส่งเดชไปอย่างนั้น เราก็อาจเอาผิดนายกฯ ไม่ได้
“ถ้านายกฯ บอกว่า ผมเป็นคนน่าเชื่อถือ ผมพูดอะไรมา ผมต้องมีข้อเท็จจริงก่อน ผมมีสติสัมปชัญญะในการพูด เราไม่ได้มีคนวิกลจริตเป็นนายกฯ ถ้าเป็นในลักษณะแบบนั้น นายกฯ ก็ต้องรับผิดชอบ เพราะคำพูดของนายกฯ คือหลักฐานที่มัดตัวนายกฯ เอง ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องดำเนินการตามกฏหมาย” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า คำถามคือ ใช้มาตรฐานไหนกับความผิดที่ชัดเจนแบบนี้ถ้าเป็นปกติของประเทศที่มีอารยะ นายกฯ ก็จะมีความรับผิดชอบทางการเมืองหบางประเทศก็อาจจะลาออก ผิดกฏหมายหรือเปล่าไม่ทราบ แต่กรณีนี้หนักที่เป็นกรณีของระบบอุปถัมภ์ เป็นกรณีที่ขัดแย้งต่อสิ่งที่นายกฯ ได้หาเสียงเอาไว้และผิดกฎหมายด้วย
“คำถามคือ นายกฯ ยังมีสปิริต และแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ที่จะลาออกไหม เป็นเรื่องของนายกฯ ที่ต้องตัดสินใจ และเป็นสิ่งที่เราจะต้องใช้เป็นตัววัดคุณภาพของนายกฯ คนนี้” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวด้วยว่า นายกฯ จะเดินต่อไปก็ได้ ในแง่กระบวนการทางกฎหมาย รอฝ่ายค้านหารือหลัง กมธ.ความมั่นคงฯ เรียกนายกฯ เข้ามาก่อน แล้วจึงตัดสินใจว่าจะเดินไปอย่างไร แน่นอนว่าช่องทางการตรวจสอบตรงนี้ ไม่ได้มีเฉพาะในส่วนของฝ่ายค้าน เพราะบางคนไปร้องต่อองค์กรอิสระต่างๆ แล้ว แต่ก็ต้องไปดูว่ากระบวนการตรวจสอบจะใช้กับนายกฯ คนนี้ได้หรือไม่
ส่วนความคาดหวังส่วนตัว ต่อการแสดงความรับผิดชอบของนายกฯ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ทุกวันนี้นายกฯ ยังใช้วิธีการเงียบอยู่เลย ตนไม่เห็นถึงความรู้สึกผิดต่อการพูดเรื่องนี้
“ถ้าพูดถึงผู้นำประเทศแล้ว คุณรู้เห็นกับระบบอุปถัมภ์ ที่ทำร้ายคนเยอะมากขณะนี้ แต่คุณปล่อยผ่านไป แล้วพูดอย่างหน้าชื่นตาบาน ถ้าผมมาดูตัวเองในวิดีโอแบบนี้ คงรู้สึกผิด แต่ไม่รู้ว่านายกฯ ผู้นี้ เป็นอย่างไร”นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงข้างๆ คูๆ ไปพูดถึงเรื่องความบ้าง ไม่ใช่เรื่องคน เป็นแค่ข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น สิ่งเดียวที่นายกฯ อาจจะพอพูดได้แล้วฟังขึ้น คือพูดออกมาเลยว่า “ผมเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ ผมพูดโกหก ผมต้องการโชว์ เพื่อจะเอาใจ สส.เพื่อไทย” สังคมจะได้รู้ว่าคนๆ นี้ เป็นคนที่พูดอะไรแล้วสังคมไม่ควรจะให้คุณค่า จะเอาแบบนั้นหรือไม่
“รู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลพลเรือน แม้ตำรวจหลายคนอาจจะไม่ได้มีโอกาส ไม่ได้เลือกนายเศรษฐามาเป็นนายกฯ แต่ก็มีความหวังเล็กๆ ว่า น่าจะดีกว่ารอบที่แล้ว สุดท้ายรอบนี้กลับโฉ่งฉ่างกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เรามี พระราชบัญญัติ ตำรวจฉบับใหม่ ที่พยายามแก้ปัญหาที่ผ่านมา แต่ก็เหมือนจะพิสูจน์ได้ว่านายกฯ ยังสามารถเข้ามาแทรกแซงได้” นายรังสิมันต์ กล่าว
ส่วนที่นายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ออกมาระบุว่า ฝ่ายค้านพยายามเชื่อมโยงเรื่องนี้กับการเมือง เพื่อหวังคะแนนนิยม นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรายังไม่เห็นสัญญาณการเลือกตั้งใหม่ในเร็วๆ นี้ สิ่งที่นายภูมิธรรมพูด คือการเบี่ยงประเด็น ข้อเท็จจริงคือ ตกลงแล้ว นายกฯ มีตั๋วสร.1 หรือไม่ ฝากโดย สส.เพื่อไทยใช่หรือไม่ เราไปสืบสวนสอบสวนกันจริงๆ แล้วพบว่า มีการฝากกันจริง สส.เพื่อไทยกี่คน ทั้งพรรคหรือเปล่า ผิด ม.185 กันกี่คน นายกฯ ผิด ม.186 หรือไม่
“อย่าบอกว่ามาโยงเรื่องการเมือง หรือเรื่องอะไรทั้งสิ้น อยู่ที่ข้อเท็จจริง เราเป็นนักการเมือง เรามีหน้าที่ตรวจสอบ เมื่อนายกฯ พูดเรื่องนี้ คุณจะให้ฝ่ายค้านเงียบหรือ พอตรวจสอบไปแล้ว พูดไปแล้ว จะให้หยุดพูดหรือ ถ้าหยุดพูดแล้ว กระบวนการยุติธรรมจะเป็นธรรมใช่ไหม ที่เรื่องทั้งหมดมาถึงขนาดนี้ คนที่ชี้เบาะแส ออกมาเปิดโปงเรื่องนี้ คือนายกฯ ที่ชื่อเศรษฐา ทวีสิน ขอบคุณคุณเศรษฐา ที่ช่วยยืนยันว่า วันนี้ระบบอุปถัมภ์ยังมีอยู่” นายรังสิมันต์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย