กทม. 7 พ.ย.-“สส.ปูอัด” น้อมรับมติพรรค ขอโทษ 40,000 กว่าเสียงที่ทำให้ลำบากใจ ยันเป็นความผิดส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรค ขอยังเชื่อมั่นในก้าวไกล พร้อมยกมือหนุน กม.ก้าวไกล ขอครั้งนี้เป็นบทเรียนที่สำคัญ
นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. ให้สัมภาษณ์ครั้งแรก ภายหลังพรรคก้าวไกลมีมติขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรค โดยกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ และตาแดงๆว่า เบื้องต้นได้ทราบคร่าวๆ ถึงมติพรรคก้าวไกลและขอน้อมรับมติของพรรค เพราะตนทำให้พรรคเสียหายมามากจริงๆ และฝากไปถึงพี่น้องประชาชน ว่ายังอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในพรรคก้าวไกล อยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัว สส.ที่ยังอยู่ในพรรคก้าวไกล ยังอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าในอนาคต นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็ยังคงเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งนี้เป็นที่ตัวบุคคล ไม่ใช่พรรค
นายไชยามพวาน กล่าวต่อว่า เพราะฉะนั้น อย่าถือโทษกับพรรคเลย ขอให้ถือโทษที่ตนทั้งหมด ตนยังอยากให้ทุกคนที่ยังคงเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของพรรคก้าวไกล ยังคอยผลักดันดันหลังพรรคก้าวไกลตลอด ตนยังอยากให้ประชาชนทุกคนคอยติดตามกฎหมาย เหมือนที่พรรคก้าวไกลเคยบอกว่า ถึงจะเป็นฝ่ายค้าน แต่ก็จะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก โทษในครั้งนี้คือตนคนเดียว ไม่ใช่พรรคก้าวไกล ยังมีอีกหลายสิ่งที่อยากให้ทุกคนโฟกัสหลังจากเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดสรรที่ดินตัวใหม่ที่พยายามยื่น และแก้ไขอยู่ เรื่องข้อเสนอยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เรื่องสวัสดิการถ้วนหน้า วันนี้ในการลงพื้นที่ เพื่ออยากให้ทุกคนเห็นว่า เมื่อเราออกมาจากห้องแอร์แล้ว เราเห็นประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ อยากให้ทุกคนยังคงเชื่อว่าการสร้างสวัสดิการถ้วนหน้าเป็นนโยบายที่พรรคก้าวไกลพยายามดันอยู่ จะสร้างประเทศที่ทุกคนเท่ากันได้
เมื่อถามว่าส่วนตัวเสียใจหรือไม่ ว่าในกรณีนี้ของตนเอง จะทำให้พรรคก้าวไกลขาดความเชื่อมั่น และศรัทธากับประชาชนมากขนาดนี้ นายไชยามพวาน กล่าวว่า เป็นความผิดของตนเองทั้งหมด ไม่ใช่ของพรรคเลย ตนยังคงยืนยันว่า พรรคก้าวไกลยังเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ ยังมีบุคคลที่เก่งๆ อีกมาก วันนี้เป็นที่ตัวบุคคล ตนไม่อยากให้ทุกคนไปล่าแม่มด หรือไปพูดอะไรกับใคร พรรคก้าวไกลยังคงยืนหยัดในการทำงานเพื่อทุกคน ทั้งในและนอกสภาผู้แทนราษฏร
เมื่อถามว่า ส่วนตัวตัดสินใจอย่างไร เนื่องจากการแสดงออกเช่นนี้ ดูเหมือนไม่อยากออกจากพรรคก้าวไกล นายไชยามพวาน กล่าวว่า ตนไม่ได้บอกว่าไม่อยากไปจากพรรคก้าวไกล ตนแค่อยากให้ทุกคนมองว่าเป็นที่ตน ไม่ใช่พรรค
เมื่อถามว่า ยอมรับว่ากระทำผิดในกรณีนี้ใช่หรือไม่ นายไชยามพวาน กล่าวว่า เป็นกระบวนการยุติธรรมที่เห็นว่า มีคนไปยื่นกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ได้กระทำ ยอมรับผิดหรือไม่ หรือรอผลวินิจฉัยของ ป.ป.ช. นายไชยามพวาน กล่าวว่า รอผลคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.
เมื่อถามว่า ส่วนตัวยังคงยืนยันที่จะทำงาน สส. ต่อใช่หรือไม่ นายไชยามพวาน กล่าวว่า ตนยังคงจะตั้งใจทำงาน ไม่ใช่แค่ลงพื้นที่ทุกวันแบบปกติ แต่ต้องทำมากกว่าเดิมหลายเท่า
“ผมเคยพูดคำนึงครับว่า จะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายที่เดินออกสภาฯ ผมต้องขอโทษ 47,650 คะแนนทุกคน ที่วันนี้ทำให้หลายคนลำบากใจ รวมถึงพรรคก้าวไกล และสังคมด้วย” นายไชยามพวาน กล่าว
ส่วนที่คนใกล้ชิดบอกว่านายไชยาพวาน ไม่ได้ผิดนั้น ถือเป็นความคิดของคนใกล้ชิด ในที่สุดแล้วสิ่งที่ผิด คือตนที่ทำให้พรรคเจ็บขนาดนี้ เป็นรอยร้าวที่มากมายอย่างที่ทุกคนเห็น ก็เหมาะสมแล้วที่ตนจะถูกพรรคขับออกมา และท้ายที่สุดอยากให้พี่น้องประชาชน อย่าถือโทษโกรธพรรคเลย เพราะทุกคนในพรรคพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อสร้างประเทศในฝัน
ส่วนจะไปสังกัดพรรคการเมืองไหนนั้น นายไชยามวาน กล่าวว่ายังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น แต่สิ่งที่คงจะต้องทำตอนนี้ ยังมีปัญหาอีกหลายอย่าง และคงต้องถามประชาชนว่าอยากให้ตนเองในจุดไหน ซึ่งตนก็ยังคงมีอุดมการณ์ไม่ต่าง จากพรรคก้าวไกล และยังขอยืนยัน ป็นส.สและเมื่อกระบวนการยุติธรรมเสร็จสิ้นลงถ้าบอกว่าตนผิดก็พร้อมที่จะพิจารณาลาออก
เมื่อถามว่าที่ไม่ลาออกเพราะยึดติดกับตำแหน่งหรือหัวโขนนั้น นายไชยามพวาน กล่าวว่า ทุกคนมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์และวันนี้ตนก็เหมือนเด็กที่ได้เรียนรู้ และเมื่อมาเป็น สส.ก็ปรับตัว และยังคงบอกว่าวันนี้ทุกคนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ตนได้ เพราะตนเป็นบุคคลสาธารณะ คงไม่ได้ขอโอกาสจากพรรคอีก เพราะเชื่อว่าทุกคนได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ขอให้ทุกคนโชคดี
เมื่อถามว่า เราได้บทเรียนอย่างไร ในครั้งนี้ นายไชยามพวาน กล่าวว่า ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนมหาศาลในช่วงวัยของตน ที่ปรับตัว และเรียนรู้ช้าไปว่าเราเป็นคนสาธารณะแล้ว และเป็นบทเรียนที่อยากจะส่งต่อให้กับหลายคนในอนาคต ว่าเมื่อเป็นบุคคลสาธารณะแล้วบางอย่างในวันที่ตนเป็นบุคคลธรรมดาอาจจะทำได้ แต่พอเป็นบุคคลสาธารณะแล้วปฏิเสธไม่ได้ ว่า เมื่อเป็นบุคคลสาธารณะทำอะไรไม่ได้และอยากให้เนื้อเรื่องของตนเป็นบทเรียนกับสังคม และเพื่อน สส. ทุกคน และเป็นบทเรียนในอนาคต
ส่วนที่พรรคระบุไม่รู้สึกผิดและไม่ขอโทษผู้เสียหายอย่างจริงใจ นายไชยยามพวาน กล่าวว่า คำว่าจริงใจตีความได้หลายอย่าง จึงไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ เพราะวันนี้ตนเป็นแค่บุคคลหนึ่งที่ออกมาจากพรรคแล้ว และไม่อยากทำอะไรให้พรรคต้องแปดเปื้อนไปมากกว่านี้ เพราะเป็นบ้านที่ให้โอกาสของตนและจะขอออกมา และขอให้พรรคเดินหน้าต่อไป ตามอุดมการณ์ของพรรคและประสบความสำเร็จ และวันหนึ่งพรรคก้าวไกลจะเป็นรัฐบาลในอนาคต
สำหรับกรณีที่คนใกล้ชิดตัดโลโก้พรรคออกนั้น นายไชยามพวาน กล่าวว่า การตัดโลโก้พรรคเป็นเรื่องที่มนุษย์มีอารมณ์ แต่ยืนยันหากมีอะไรที่ตนจะช่วยยกมือในสภาก็จะช่วยผลักเต็มที่เท่าที่จะทำได้
เมื่อถามยามว่าจะชี้แจงอย่างไรสำหรับ ข้อกล่าวหาคุกคามทางเพศ นายไชยามพวาน กล่าวว่า ลำบากใจที่จะพูดอีกครั้ง ขอให้อยู่ในส่วนที่ต้องไปชี้แจงใน ปปช. ดีกว่า หากพูดอะไรมากไปกว่านี้จะไม่ดี ขอยืนตรงนี้ก็ยอมรับและขอโทษสังคมและเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตของตนและอยากให้เป็นบทเรียน แล้วจะไม่ฟ้องร้อง อยากให้จบแต่เพียงเท่านี้ ขอพิสูจน์ในชั้น ปปช.
เมื่อถามว่ามีอะไรอยากจะบอกน้องผู้เสียหายหรือไม่ นายไชยามพวาน นิ่งไปพักหนึ่งพร้อมตาแดงๆ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า พูดลำบากจริงๆ เพราะเป็นทีมงาน แล้วตนเป็นคนหนึ่งที่ถูกขับออกมาแล้ว หลายๆ อย่างก็พูดแล้ว อยากจะฝากให้เป็นบทเรียนกับสังคม วันนี้อยากให้ทุกคนดูการทำงานของตน อยากให้เห็นว่า พื้นที่ที่ตนเข้ามาทำงานมีความลำบากจริงๆ แม้จะเป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร
นายไชยาพวาน ยังชี้แจงถึงกรณีที่ชอบโค้ง ว่า ตนเป็นคนบุคลิกแบบนี้ เจอใครทั้งไหว้และโค้งเคารพ และแสดงความเคารพประชาชนเพื่อให้เห็นว่า ส.ส ไม่ได้เหนือใคร.-สำนักข่าวไทย