“พีระพันธุ์” ปลุกสมาชิกพรรคให้มีความภาคภูมิใจในความเป็น “รวมไทยสร้างชาติ”

กรุงเทพฯ 4 พ.ย. – “พีระพันธุ์” ปลุกสมาชิกพรรค-ตัวแทน-สาขาพรรค รทสช. ให้มีความภาคภูมิใจในความเป็น “รวมไทยสร้างชาติ” ที่ยึดมั่นทำงานเพื่อประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนทุกคน ไม่มีแบ่งแยก ย้ำตั้ง “สถานียุติธรรม” เป็นศูนย์รวมรับและแก้ปัญหาให้ประชาชนทั้งประเทศ


ที่โรงแรมอัญชาลีน่าแกรนด์ กรุงเทพฯ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เป็นประธานเปิดอบรมสัมมนาตัวแทนสาขาพรรครวมไทยสร้างชาติ ภายใต้หัวข้อ “สถานียุติธรรม” (ศูนย์ประสานงานรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน) โดยมีนายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร รองหัวหน้าพรรค นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายโกวิท ธารณา รองหัวหน้าพรรค พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา ผอ.พรรค พร้อมผู้บริหารพรรค สมาชิกและตัวแทนสาขาพรรค ร่วมกิจกรรมคับคั่ง

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ทุกคนได้มีโอกาสมาพบกันครั้งแรกหลังการเลือกตั้ง ช่วงที่ผ่านมาทุกคนในพรรคได้ช่วยกันทำงานอย่างหนัก โดยมีเป้าหมายเพื่อการทำงานให้กับประเทศชาติและประชาชน ตั้งแต่ตน และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เริ่มทำพรรครวมไทยสร้างชาติมาจนถึงวันนี้เป็นเวลา 1 ปีเศษแล้ว ครั้งนั้นเป็นการเริ่มต้นแบบไม่มีอะไรเลย มีเพียงความมุ่งมั่น ความตั้งใจในการทำพรรคว่าจะไปในทิศทางไหน


นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนและนายเอกนัฏมีประสบการณ์เป็น สส.เขตมาก่อน จึงมีความใกล้ชิดกับประชาชน ทำให้ทราบว่า ประชาชนมีปัญหาแต่ไม่มีที่พึ่ง ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่มักจะส่งไปไม่ถึงผู้บริหารในระดับรัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทำให้ประชาชนคิดว่าปัญหาของพวกเขาถูกมองว่าไม่ได้รับความสำคัญ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ตนคิดว่าจะทำพรรคการเมืองอย่างไรที่สามารถช่วยเหลือประชาชน และพร้อมจะฟังปัญหาของชาวบ้าน นำปัญหาเหล่านั้นมาแก้ไขให้มากที่สุด แม้ในทางปฏิบัติจะไม่สามารถแก้ไขให้สำเร็จได้ทุกเรื่อง แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าพรรคใส่ใจ พยายามแก้ไขปัญหาให้ เพื่อให้ประชาชนมีกำลังใจในการต่อสู้กับปัญหาเหล่านั้น

“เพราะความตั้งใจในการทำงานโดยมุ่งแก้ปัญหาให้ประชาชนเป็นหลัก ทำให้ไม่เคยคิดว่าพรรครวมไทยสร้างชาติจะต้องเติบโตมามีอำนาจทางการเมือง หรือต้องมี สส.จำนวนมากอย่างเดียว แต่ตั้งใจว่าจะมาช่วยกันสร้างพรรคแบบนี้สักครั้ง อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าได้พยายามทำและลงมือทำแล้ว จึงได้พยายามขายความคิดแบบนี้ให้กับทุกๆ คนที่เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อทำงานให้กับประชาชนในการ “สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง” ซึ่งเป็นความเป็นตัวตนของตนตลอดชีวิตทางการเมือง และอยากจะให้มีพรรคการเมืองที่ทำงานกันแบบนี้อย่างแท้จริง นี่คือความเป็นมาที่อยากจะให้ทุกคนได้ทราบว่าพรรคนี้ตั้งขึ้นมาไม่ใช่เพื่อแสวงหาโอกาสทางการเมืองให้กับหัวหน้าพรรค ให้กับผู้บริหารพรรคหรือสมาชิกพรรค แต่แสวงหาโอกาสทางการเมืองช่วยแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน” นายพีระพันธุ์ กล่าว

หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวต่อว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังการเลือกตั้งไม่เคยปรากฏข่าวว่าพรรคไปวิ่งเต้นขอเข้าร่วมรัฐบาล หรือต่อรองขอตำแหน่ง ร้องขอกระทรวงใดๆ แต่เมื่อมีโอกาสเข้าร่วมรัฐบาลก็ไม่เคยมีข่าวว่าพรรครวมไทยสร้างชาติแตกแยกเพื่อแย่งตำแหน่ง นี่คือสิ่งที่ตนรู้สึกดีใจและภูมิใจในสมาชิกพรรคทุกคน สิ่งที่ประชาชนคาดหวังวันนี้คือพรรคการเมือง และสมาชิกพรรคการเมืองที่แตกต่างจากพรรคการเมืองเดิมๆ ที่ประเทศนี้เคยมี เมื่อตนเข้ามาทำหน้าที่ในคณะรัฐมนตรีก็พยายามทำด้วยความตั้งใจมาตลอดชีวิต และตั้งใจให้เป็นภาพของพรรครวมไทยสร้างชาติที่เข้ามาทำงานจริง และแก้ไขปัญหาจริง พรรคอื่นอาจจะทำไม่ได้ แต่พรรครวมไทยสร้างชาติทำให้ได้ มาถึงวันนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วพรรครวมไทยต่างชาติทำได้ เมื่อมีคนมาถามว่าทำไมทำได้ ตนบอกว่าเพราะมีสมาชิกพรรคสนับสนุน เพราะประชาชนสนับสนุนและเพราะนโยบายที่ยึดมั่นอย่างเข้มข้นตลอดว่าเรามาเพื่อทำงานให้กับชาวบ้าน ถ้าไม่ได้มาเพื่อแสวงหาประโยชน์ ทุกอย่างถ้าไม่มีประโยชน์ส่วนตัวทำได้ทั้งหมด


นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า สมัยที่ตนเป็น รมว.ยุติธรรม เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ได้เห็นปัญหาแบบเดียวกัน ตอนลงไปตรวจราชการ ได้มีโอกาสอ่านหนังสือร้องเรียน พบว่าปัญหาแตกต่างกัน แต่หัวใจของปัญหาเหมือนกัน คือความเดือดร้อน ไม่มีที่พึ่ง ไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร ตอนนั้นจึงได้ตั้งโครงการ “สถานียุติธรรม” ขึ้นมา เริ่มต้นด้วยการรับสมัครอาสาสมัครยุติธรรมทั่วประเทศ ดำเนินการในนามกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ชาวบ้านได้เข้ามาร้องเรียนปัญหาความเดือดร้อน เพราะส่วนใหญ่ไม่กล้าไปสถานีตำรวจ และไม่มั่นใจ บางคนบอกว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ได้รับความสำคัญ จึงเป็นจุดคิดว่าถ้าหากสังคมอยู่กันแบบนี้จะอยู่ไม่ได้แน่ หากชาวบ้านรู้สึกว่าไม่มีความยุติธรรมในสังคม ก็เหมือนกับสำนวนไทยที่ว่า “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก”

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากสังคมนี้ทำให้คนรู้สึกอึดอัดใจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความแตกแยก ตนจึงตั้งโครงการสถานียุติธรรม รับสมัครสมาชิกมาเป็นเจ้าหน้าที่ของสถานียุติธรรม เพื่อทำหน้าที่รับเรื่องราวร้องทุกข์เวลาที่ชาวบ้านเดือดร้อน นอกจากไปที่สถานีตำรวจแล้ว ยังมีที่พึ่งก็คือกระทรวงยุติธรรม โดยโครงการสถานียุติธรรมในช่วงนั้นเรียกว่า ยุติธรรมจังหวัด มีการประสานทำงานกับยุติธรรมจังหวัด เมื่อชาวบ้านเดือดร้อนสามารถให้เจ้าหน้าที่ของสถานียุติธรรม และยุติธรรมจังหวัดช่วยประสานกับหน่วยงานต่างๆ ทำให้ปประชาชนมีที่พึ่งมากขึ้น แต่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระยะต่อมา ก็มีการยกเลิกโครงการนี้ไป สมัยนั้น พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา ผอ.พรรครวมไทยสร้างชาติในวันนั้น ดำรงตำแหน่งเลขานุการ รมว.ยุติธรรม เคยทำหน้าที่ในการช่วยดูแลโครงการสถานียุติธรรมมาก่อน วันนี้ต้องขอบคุณท่าน ผอ.พรรคที่นำโครงการนี้กลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า อยากจะย้ำวัตถุประสงค์เป้าหมายของการเข้ามาทำงานการเมืองของทุกคนว่าเข้ามาทำงานเพื่อส่วนรวม การทำงานการเมืองไม่ได้แปลว่าต้องมีตำแหน่ง ถ้าเมื่อไรรู้สึกเข้ามาเพื่ออยากมีตำแหน่งจะทำงานให้สำเร็จไม่ได้ การเข้ามาทำงานการเมืองคือ การเข้ามาเสียสละทุกอย่างที่เป็นของตัวเองเพื่อคนอื่น เช่นเดียวกับการอบรมโครงการสถานียุติธรรมที่ทำหน้าที่ทางการเมือง คือรับดูแลชาวบ้าน เพราะคือความสุขที่ได้ดูแลและได้มีโอกาสช่วยสังคมช่วยชาวบ้าน เมื่อทำงานไปแล้วจะมีโอกาสได้เป็นดำรงตำแหน่งทางการเมือง อย่าคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่เป็นผลพลอยได้จากการทำงาน

หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังกล่าวย้ำถึงแนวทางการสื่อสารในยุคปัจจุบันเพื่อเผยแพร่ผลงานและแนวทางการรับความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ว่า วันนี้เทคโนโลยีหรือโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสูงมาก ทางพรรคเองได้พยายามปรับปรุงแนวทางใช้โซเชียลมีเดียเพื่อประชาสัมพันธ์ เพราะเข้าถึงประชาชนได้ง่ายและเร็วกว่าในอดีต แต่หากไม่มีเนื้อหาในการเผยแพร่ก็ไม่มีประโยชน์ เนื้อหาที่สามารถนำไปใช้ในโซเชียลมีเดียได้ก็คือ การทำงาน การเข้าไปดูแลประชาชน การเข้าไปดูแลพื้นที่ การเข้าใจปัญหาการรู้วิธีแก้ไขปัญหา และการมีทีมงานที่ดีที่จะช่วย แต่โลกของความเป็นจริงไม่เคยเปลี่ยนคือต้องทำงาน ฉะนั้นสมาชิกพรรคไม่ว่าจะเป็นในระดับใดก็ต้องทำงานในพื้นที่ ขยันดูแลพื้นที่ ถ้าไม่มีผลงานมาปรากฏก็ไม่มีประโยชน์เลย

“การทำงานอย่าเอาการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง ต้องทำให้ประชาชนเห็นถึงความตั้งใจของทุกคนมาด้วยความตั้งใจช่วยจริงๆ เขาจะเลือกพรรคเราหรือไม่เลือกไม่ใช่ปัญหา ถ้าเขาเป็นประชาชนเราต้องดูแล อย่าแบ่งแยกคน การที่เราจะเป็นพรรคการเมืองที่ดีเราต้องไม่แบ่งแยก ทุกคนคือคนไทย เป็นคนของพรรครวมไทยสร้างชาติทั้งหมด ขอให้ทุกท่านนำแนวทางนี้ไปร่วมกันสรรค์ สร้างโครงการสถานียุติธรรมของพรรครวมไทยสร้างชาติให้เกิดความสำเร็จ ช่วยกันสร้างพรรค สร้างความศรัทธา สร้างความเชื่อมั่นในทางการเมืองให้กับประชาชนว่าพรรครวมไทยสร้างชาติคืออนาคตของเขาและประเทศไทย” นายพีระพันธุ์ กล่าว

สำหรับโครงการอบรมสัมมนาตัวแทนสาขาพรรครวมไทยสร้างชาติจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “สถานียุติธรรม” (ศูนย์ประสานงานรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน) จัดขึ้นในวันที่ 4-5 พฤศจิกายน ภายในงานเป็นการอบรมให้ความรู้ในประเด็นเชิงกฎหมาย และ แนวทางการดำเนินการด้านการเมืองของพรรครวมไทยสร้างชาติ เช่น บทบาทการเมืองของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยนายโกวิทย์ ธารณา รองหัวหน้าพรรค, แนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านกฎหมาย “สถานียุติธรรม คือ สถานีของประชาชน” โดยนายณัฐนันท์ กัลยาศิริ หรือ “ทนายบอน” อดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ และการบรรยายเรื่องเศรษฐกิจไทยกับพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยนายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ อดีต ผู้สมัคร สส.กทม.พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ปะทะแล้ว บริเวณปราสาทตาเมือน หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิง

สุรินทร์ 24 ก.ค.-ทบ.รายงานเหตุการณ์ปะทะบริเวณพื้นที่ปราสาทตาเมือน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิง เมื่อเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 07.35 น. หน่วยเฉพาะกิจที่ดูแลพื้นที่ปราสาทตาเมือนรายงานว่า ได้ยินเสียงอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินวนอยู่บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม แม้ไม่สามารถตรวจพบตัวอากาศยานได้ด้วยสายตา แต่สามารถได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้นำอาวุธเข้าสู่ที่ตั้งบริเวณด้านหน้าแนวลวดหนาม และพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือรวมทั้ง RPG เดินเข้ามาใกล้แนวลวดหนามบริเวณด้านหน้าฐานปฏิบัติการของไทย ฝ่ายไทยได้ใช้การตะโกนเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและยกระดับสถานการณ์ โดยฝ่ายไทยเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือน ในระยะประมาณ 200 เมตร ขณะนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกองทัพบกกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากมีข้อมูลเพิ่มเติมจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ปะทะทหารไทย-เขมร ลาม 6 พื้นที่ กำลังพลเจ็บ 2 นาย

กทม. 24 ก.ค.-ด่วน! เหตุปะทะทหารไทย-เขมร ลาม 6 พื้นที่ ทบ. เผยทหารกัมพูชา เปิดแนวรบเพิ่มที่ ผามออีแดง เขาพระวิหาร ส่วนทหารไทยงัดปืนใหญ่ตอบโต้ กำลังพลเจ็บ 2 นาย เมื่อวันที่ 24 ก.ค.68 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ระบุเพิ่มเติมว่า เวลา 0920 น. กองทัพบกพบการปะทะเพิ่มเติมตลอดแนวพื้นที่ผามออีแดง ปราสาทเขาพระวิหาร พบฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากใช้อาวุธทุกชนิดและ BM21 ส่วนฝ่ายไทยเข้าปะทะตามแผนพร้อมตอบโต้ปืนใหญ่สนาม 09.20 น. เจ้าหน้าที่ทหารบาดเจ็บ 2 นาย จากอาวุธยิงสนับสนุน ในพื้นที่บริเวณกลุ่มปราสาทตาเมือน จ.สุรินทร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพื้นที่ที่มีการปะทะจำนวน 6 พื้นที่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องบก เขาพระวิหาร(ห้วยตามาเรีย/ภูมะเขือ) ช่องอ่านม้า ช่องจอม.-313.-สำนักข่าวไทย

ผบ.ทบ.นำคณะลงช่องอานม้า พรุ่งนี้ จ่อใช้แผนจักรพงษ์ภูวนาถ

23 ก.ค.- “ผบ.ทบ.” สั่ง ทภ.2-ทภ.1 เตรียมพร้อม “แผนจักรพงษ์ภูวนาถ” รับมือชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมยกคณะลงพื้นที่บัญชาการ วันที่ 23 ก.ค.68 พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผข.ทบ.) ได้สั่งการไปยังกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่1 รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา เตรียมใช้แผนจักรพงษ์ภูวนาถ แก้ไขปัญหาพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชาหลัง กำลังพลของกองทัพบกไทยจากชุดลาดตระเวน พัน.ร.14 ประสบเหตุเหยียบกับระเบิดบริเวณห้วยบอน ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พิกัด VA 950911 ซึ่งเป็นพื้นที่ปฏิบัติการตามแนวชายแดน โดยส่งผลให้ จ่าสิบเอกพิชิตชัย บุญโคราช ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสูญเสียขาขวา และอยู่ระหว่างการส่งตัวรักษาต่อ ณ โรงพยาบาลน้ำยืน โดยให้พร้อมปฏิบัติหน้าที่ทันที เมื่อสั่งการ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (24 ก.ค.) พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พลโท ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ รองเสธ ทบ. พลโทบุญสินพาดกลาง มทภ.2 […]

“บิ๊กต่าย” อยากเคลียร์ใจครอบครัว “น้องเมย” ปมคู่กรณีได้เป็น ตร.

ตร. 23 ก.ค. – ผบ.ตร. อยากเคลียร์ใจครอบครัว “น้องเมย” ปมคู่กรณีได้เป็นตำรวจใต้บังคับบัญชาหลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 12 จังหวัดปราจีนบุรี อ่านคำพิพากษากรณีที่ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตปริศนา หลังจากถูกธำรงวินัยโดยรุ่นพี่ทหาร 2 นาย ภายในโรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ซึ่งหนึ่งในรุ่นพี่ที่เป็นจำเลย ปัจจุบันรับราชการตำรวจในภาคอีสาน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า ตนได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่อยากจะสื่อสารในประเด็นที่ 1 ตนอยากพบพ่อและแม่ของน้องเมยเป็นการส่วนตัว เพื่อจะได้พูดคุยให้เข้าใจในการปฏิบัติของตำรวจ ซึ่งเป็นประเด็นที่ 2 กรณีที่คู่กรณีเป็นตำรวจ เราต้องมองย้อนไปในขณะที่เกิดเหตุ มองถอยหลังกลับไป คู่กรณีรายดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสถานะตำรวจ ฉะนั้นแล้วตามกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจ ปี 2565 การดำเนินการทางวินัยจะดำเนินได้เฉพาะกับผู้ที่อยู่ในสถานะตำรวจ ซึ่งขณะนั้นคู่กรณีถือว่าอยู่ภายใต้กองบัญชาการกองทัพไทย ส่วนการพิจารณาทางวินัยตำรวจของคู่กรณี ตนได้สั่งให้จเรตำรวจแห่งชาติ นำไปประกอบการพิจารณา เนื่องจากวินัยและอาญาจะสามารถเชื่อมกันได้ในข้อเท็จจริงบางส่วน […]

ข่าวแนะนำ

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมน่านหนักสุดเป็นประวัติการณ์

น่าน 24 ก.ค. – ยังน่าห่วง น้ำท่วมเขตเศรษฐกิจและตัวเมืองน่าน หนักสุดเป็นประวัติการณ์ บางจุดท่วมสูงถึงชั้น 2 ของบ้าน ประชาชนติดอยู่ในบ้านกลางน้ำ ยิ่งค่ำยิ่งลำบาก .-สำนักข่าวไทย

ไทม์ไลน์เหตุปะทะเดือด “ไทย-กัมพูชา”

24 ก.ค. – ไล่เรียงไทม์ไลน์เหตุปะทะเดือดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นในวันนี้ (24 ก.ค.) มีที่มาที่ไปอย่างไร พลันที่ชุดลาดตระเวน กองพันทหารราบที่ 14 เหยียบกับระเบิดที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อเย็นวานนี้ (23 ก.ค.) ทำให้ทหาร 1 นาย บาดเจ็บสาหัสขาขาด อีก 4 นาย บาดเจ็บ ซ้ำรอยเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดจนขาขาดในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ทำให้สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตึงเครียดถึงขีดสุด พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ยกระดับมาตรการตอบโต้สั่งปิดด่าน 4 แห่ง คือ ช่องอานม้า, ช่องสะงำ, ช่องจอม และช่องสายตะกู พร้อมปิดสถานที่ท่องเที่ยว 2 แห่ง คือ ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควายทันที 07.35 น. วันนี้ (24 ก.ค.) ความรุนแรงเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ดูแลพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม รายงานว่าได้ยินเสียงอากาศยานไร้คนขับ […]

ไม่พลาดเป้า! เอฟ-16 ทิ้งบอมบ์รอบ 2 กลับฐานปลอดภัย

24 ก.ค.- ทอ.เปิดปฏิบัติการ ส่งเอฟ-16 ทิ้งบอมบ์ฝั่งกัมพูชาไม่พลาดเป้า กลับฐานแล้วอย่างปลอดภัย เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 24 ก.ค.68 กองทัพอากาศ เปิดปฏิบัติการ ส่ง F-16 รอบ 2 ของวันนี้ 4 เครื่อง ในการโจมตีทางอากาศตอบโต้กองทัพกัมพูชา ในจุดสำคัญ ทางทิศใต้ของปราสาทตาเมือนธม ไม่พลาดเป้า โดยล่าสุด 17.00 น. F-16 ทั้ง 4 เครื่อง กลับฐานบิน ปลอดภัย หลังสนับสนุน เปิดปฏิบัติการ “ยุทธบดินทร์” -สำนักข่าวไทย