รัฐสภา 17 ต.ค.-“ส.ว.ตวง” แนะรัฐบาลทบทวนท่าที วางตัวเป็นกลางกรณีปัญหาในอิสราเอล ชี้มีผลต่อการให้ความช่วยเหลือดูแลคนไทย –ตัวประกัน เพื่อให้กลับบ้านได้เร็วและปลอดภัย
นายตวง อันทะไชย ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา กล่าวถึงความห่วงใยคนไทยต่อสถานการณ์สงครามที่ประเทศอิสราเอล โดยเสนอแนะว่าเรื่องแรกที่รัฐบาลต้องทบทวนคือเรื่องท่าทีของรัฐบาลต่อสถานการณ์ ท่าทีของเราจะส่งผลต่อตัวประกัน และประชาชนคนไทยที่อยู่ในอิสราเอลกว่า 30,000 คน หากเราเลือกข้างเกินไปจะส่งผลอันตรายต่อการทูตระหว่างประเทศ และส่งผลต่อความมั่นคงในอนาคต แต่เชื่อว่ารัฐบาลทราบเรื่องนี้อยู่แล้วและกำลังปรับปรุงท่าทีต่อสถานการณ์ในเวลานี้ ตนเห็นด้วยว่าเราไม่ควรเลือกข้างใดข้างหนึ่งให้มาก ควรจะต้องบอกว่าขอให้ทุกฝ่ายได้พูดคุยกัน ให้ปกป้องคุ้มครองพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม นี่คือหลักสำคัญ ส่วนข้อห่วงใยต่อพี่น้องคนไทยที่อยู่ในพื้นที่คือตัวอย่างของประเทศไทยที่จะต้องกลับไปทบทวนเรื่องส่งคนไปทำงานต่างประเทศ
“หากเป็นประเทศที่เสี่ยงจะมีหลักประกันใดเพื่อคุ้มครองพลเมืองของเรา ทั้งเรื่องค่าแรงค่าตอบแทน ความปลอดภัยในการทำงาน ประเด็นต่อไปคือนักศึกษาไทยที่ส่งนักศึกษาไปให้ความรู้เรื่องการเกษตรที่อิสราเอลจำนวนมาก และการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของอิสราเอล 80 – 90% มาจากฝีมือของเด็กไทยทั้งนั้น โดยมาจากวิทยาลัยการเกษตรที่อยู่ในอิสราเอล เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่รัฐบาลไทยต้องทบทวน เพราะเรามีวิทยาลัยเกษตรทั่วประเทศ แต่เราไม่สามารถสร้างอาชีพให้คนมีรายได้ มีงานทำได้ ทั้ง ๆ ที่เราส่งนักศึกษาไทยไปช่วยอิสราเอล รัฐบาลควรทบทวน หลักสูตรการศึกษาได้แล้วว่าไม่ต้องมีแล้วปวช. , ปวส. แต่ต้องมาพูดถึงหลักความรู้ในการประกอบอาชีพ วิทยาลัยเกษตร บางที่มีครูมากกว่านักเรียน ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกันหมดทั่วประเทศ ซึ่งหลักการพวกนี้มีในอิสราเอล แต่ไทยไม่ได้ทำ ซึ่งนักศึกษาไทยที่อยู่ในวิทยาลัยเกษตร 79 คน ที่ไม่ใช่สัดส่วนของนักศึกษามหาลัย เป็นคนที่ไปช่วยอิสราเอลทำงาน จึงต้องแสดงความห่วงใย ไม่แน่ใจว่าใน 79 คนนี้จะเป็นหนึ่งในตัวประกันที่กลุ่มฮามาสจับไปหรือไม่” นายตวง กล่าว
ส่วนคนไทยที่ตัดสินใจอยู่ที่อิสราเอลต่อ นายตวง กล่าวว่า เรื่องนี้รัฐบาลต้องทบทวนเช่นกัน แรงงานบางคนมองความปลอดภัยในชีวิตเป็นอันดับรอง ความยากจนหากใครไม่เผชิญคงไม่ทราบ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าแรงงานบางคนระบุว่าหากสถานการณ์ปกติจะกลับไปทำงานอีก ซึ่งรัฐบาลต้องคิดแล้วว่าความยากจนทำให้คนไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในสงครามได้ ซึ่งแรงงานเหล่านั้นเป็นหนึ่งในพลเมืองของเรา ดังนั้น เราต้องดูแลแรงงานกลุ่มที่ไม่ได้รับการดูแลจากผู้ประกอบการดีพอ รวมถึงแรงงานกลุ่มที่ไม่ได้รับพาสปอร์ต เชื่อว่าในขณะที่ประเทศต่าง ๆ นำพลเรือนกลับมาได้ทั้งหมด แต่ของเรายังต้องอาศัยเงื่อนระยะเวลาทอดยาวออกไปพอสมควร พลเมืองอีก 3 หมื่นกว่าคน เราจะทำอย่างไรต่อไป เพราะคนเหล่านี้หาเงินเข้าประเทศ ช่วยสร้างครอบครัวให้มีอาชีพมีรายได้ มีงานทำ รัฐบาลได้ภาษีจากคนกลุ่มนี้ เชื่อว่าหากเราจัดสรรระบบให้ดี เราสามารถยกระดับเรื่องความปลอดภัยพลเมืองของเราได้ ดังนั้น สถานการณ์ในอิสราเอลที่เกิดขึ้นทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง
ส่วนทิศทางการเจรจาปล่อยตัวประกัน นายตวง กล่าวว่า ไทยต้องไม่เลือกข้าง เราควรมองหลักการใหญ่ว่าทำอย่างไรจะสามารถปกป้องคุ้มครองพลเมืองผู้บริสุทธิ์ของทั้ง2 ฝ่ายนี้คือหลักการสำคัญ หากเราพูดได้เช่นนี้ เราก็จะสามารถบินข้ามน่านฟ้าเขาได้ เพื่อปกป้องประชากร ทั้งจากประชาคมโลกและจากประเทศต้นทางที่เกิดปัญหา จะต้องไม่นำประเทศและพลเมืองของเราไปสู่ความขัดแย้ง
“ในช่วงหลังกระทรวงการต่างประเทศได้มีการปรับตัว และ ประเทศไทยต้องปรับระยะห่างของเรื่องนี้ให้ได้ ผมไม่ได้ว่าอะไรใครนะแต่รัฐบาลที่แล้วทำมาดีแล้ว เช่นระยะห่างกับซาอุดิอาระเบีย แต่ครั้งนี้เราต้องกลับไปคุยกับเขาใหม่ ที่ผ่านมามันดีมากแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเราต้องไปเริ่มคุยกับซาอุฯ ใหม่ แต่ในเมื่อมันเกิดปัญหาเราก็ต้องกลับมาเรียนรู้และทบทวน” นายตวง กล่าว.-สำนักข่าวไทย