นายกฯ กำชับเตรียมพร้อมเครื่องบินกองทัพ-เอกชนรับคนไทยกลับทันที

กระทรวงการต่างประเทศ 12 ต.ค. – นายกฯ นำประชุมศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินเหตุภาวะความไม่สงบในตะวันออกกลาง กำชับเตรียมพร้อมเครื่องบินกองทัพ-เอกชนรับคนไทยกลับทันที เชื่อหลายประเทศจะเห็นใจคนไทยเสียชีวิตมาก ลั่นความปลอดภัยคนไทยสูงสุด ระบุหารือทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย พรุ่งนี้ (13 ต.ค.) คุยเรื่องอพยพ-ช่วยเหลือตัวประกัน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางถึงประเทศไทย ในเวลา 16.30 น. หลังกลับจากการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้เดินทางมายังกระทรวงการต่างประเทศ ในเวลา 17.07 น. เพื่อประชุมร่วมกับศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินต่อสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล โดยมีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงยังมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ อาทิ นางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ, นายศิระ สว่างศิลป์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา, สถานกงสุลใหญ่ไทยในบางประเทศแถบตะวันออกกลาง, กองบัญชาการกองทัพไทย, กรมข่าวทหารบก และกรมสุขภาพจิต

โดยที่ประชุมวันนี้จะมีการรายงานความคืบหน้ากรณีผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต การอพยพคนไทย ติดตามความคืบหน้าในการช่วยเหลือแรงงานไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกัน


เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ได้รายงานสถานการณ์ในอิสราเอล หลังเกิดเหตุการณ์สู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส เข้าสู่วันที่ 7 แล้ว ซึ่งตั้งแต่เมื่อคืน (11 ต.ค.) จนถึงวันนี้ (12 ต.ค.) ยังคงมีการโจมตีระหว่างกันด้วยจรวดอยู่บ้าง และในวันนี้ยังมีการยิงระเบิดเข้ามาในพื้นที่ฉนวนกาซา เวสต์แบงก์ และทางเหนือของอิสราเอล เป็นระยะ

นายเศรษฐา แถลงข่าวภายหลังการประชุมศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินเหตุภาวะความไม่สงบในตะวันออกกลาง ที่กระทรวงการต่างประเทศ ว่าหลังตนลงเครื่องบินที่ บน.6 จากการไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างประเทศมา ก็ได้เดินทางมาประชุมที่นี่ เพราะมีความกังวลกับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ที่มีการขยับความรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ และมีชาวไทยที่อยู่ในเขตอันตรายกว่า 6,000 คน

วันนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่มีลอตแรกเดินทางกลับเข้ามาในไทยแล้ว แต่ยังเหลืออีกจำนวนมากที่เราจะต้องลำเลียงกลับเข้ามา ซึ่งเข้าใจถึงความห่วงใยของญาติพี่น้อง และความกังวลของแรงงานไทยที่อยู่ในอิสราเอล เพราะมีหลายปัญหา ทั้งเรื่องการบินเข้าไปในอิสราเอล ที่วันหนึ่งมีเครื่องบินได้ไม่ถึง 1 ไฟลต์ โดยจะมีการพูดคุยกันว่ากองทัพบกและกองทัพอากาศจะเอาเครื่องบิน C-130 และแอร์บัส A340 เข้าไปรับผู้อพยพในวันที่ 14 ตุลาคม เป็นเที่ยวบินต่อไป เพื่อรับคนไทยกลับมาประมาณ 140 คน และมีการขนเสบียงไปให้ด้วย แต่ตนได้สั่งการไปว่าลำเดียวนั้นเป็นอะไรที่น้อยมาก ตนจึงได้สั่งการในที่ประชุมและที่ประชุมก็เห็นด้วย หลังจากนี้ให้เตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะให้มีเครื่องบิน โดยที่สายการบินนกแอร์ จำนวน 2 ลำ แอร์เอเชีย 2 ลำ ส่วนการบินไทยยังอยู่ระหว่างรอคำตอบ ซึ่งสายการบินไทยไม่มีเที่ยวบินที่บินตรงไปประเทศอิสราเอล จึงติดขัดเรื่องเอกสารมากกว่าความพร้อม และหากการบินไทยไม่สามารถที่จะบินตรงไปยังกรุงเทลอาวีฟได้จะเจรจาให้การบินไทยไปจอดในประเทศใกล้เคียง จากนั้นจะให้สายการบินพาณิชย์อพยพคนไทยไปขึ้นเครื่องการบินไทยในประเทศนั้นๆ และตนได้สั่งการทางอ้อมไปแล้วในที่ประชุม ซึ่งต้องยอมรับว่าในการปฏิบัติภารกิจตรงนี้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหลายคนอิดโรย เพราะทุกคนก็ทำงานอย่างหนัก


ทั้งนี้ ต้องนำผู้อพยพเกือบ 6,000 คน มาให้ได้ ตนเชื่อว่าคณะทำงานจากกระทรวงการต่างประเทศทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งได้มีการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่จากประเทศใกล้เคียง เข้าไปอำนวยความสะดวกให้คนไทยเดินทางกลับอย่างปลอดภัยที่สุด ขอสถานการณ์ในอิสราเอลยังไม่ปลอดภัยถนนหลายสายถูกสกัด จึงต้องมีการพูดคุยเชื่อมต่อระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคง ให้อำนวยความสะดวกให้ ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ซึ่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็กำลังประสาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า เรื่องบางเรื่องที่หลายคนมองว่าจะสามารถนำเครื่องบินออกไปเลยนั้น มันไม่ใช่เพราะเที่ยวบินพิเศษจะต้องมีการขออนุญาตการเปิดน่านฟ้า ซึ่งต้องขออนุญาตผ่านน่านฟ้าถึง 10 ประเทศมันเป็นไปได้หรือไม่ จริงๆ แล้ว กระทรวงการต่างประเทศก็ให้ความกรุณา ซึ่งในอดีตต้องใช้เวลาการเป็นเดือนในการขออนุญาต ในการจะขอผ่านน่านฟ้าในแต่ละประเทศ แต่ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศได้ สามารถเร่งขออนุญาตได้เพียง 2 วัน และหลังจากนี้จะมีการเจรจาให้ได้อย่างเร็วที่สุดภายใน 48 ชั่วโมงให้ได้ ขณะเดียวกันได้มีการสั่งการเครื่องบินทั้ง 4 ลำให้เตรียมความพร้อม รวมถึงความพร้อมของการบินไทยหากได้คำตอบก็สามารถที่จะขึ้นบินได้ทันที

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้ระบุถึงที่ประชุม โดยเอกอัครราชทูตไทย ณ เทลอาวีฟ ว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่มีความพร้อมในการอพยพแรงงานมายังจุดปลอดภัยวันละ 200 คน ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้เราสามารถบินออกมาได้วันละ 1 เที่ยวบิน ซึ่งถ้าหากจะอพยพทั้งหมดจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน ยืนยันจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังวิงวอนให้สายการบินเอกชนที่พอจะช่วยได้และมีเครื่องบินเหลืออยู่ หวังว่าจะได้รับความร่วมมือเพื่อช่วยกันในภารกิจดังกล่าว โดยกระทรวงการต่างประเทศก็พร้อมจะอำนวยความสะดวกในการบินผ่านน่านฟ้าแต่ละประเทศ เพราะถือว่าเป็นภาวะสงคราม ขณะนี้สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น

เมื่อถามถึงทิศทางการเจรจาขอปล่อยตัวแรงงานชาวไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกัน 16 คนนั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็มีการเจรจาตลอดเวลาในทุกช่องทางที่สามารถเป็นไปได้ ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องของความมั่นคงไม่สามารถที่จะเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยตนมั่นใจในการเจรจา และมีความหวังว่าตัวประกันจะได้รับความปลอดภัย ถูกปล่อยตัวออกมา ซึ่งยอมรับว่าเราเองก็กดดัน แต่เราไม่อยู่ในสภาวะประเทศคู่ขัดแย้ง ถ้าหากดูยอดผู้เสียชีวิต ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุด มันเป็นเรื่องน่าเศร้าใจ ซึ่งเชื่อว่าหลายประเทศให้ความเห็นใจที่จะได้รับการอำนวยความสะดวกที่จะอพยพ เปิดน่านฟ้า ยืนยันเราจะพยายามทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุด

ส่วนกรณีผู้เสียชีวิต พี่ญาติพี่น้องมีความกังวลว่าเมื่อไรจะรับศพกลับมาเพื่อประกอบพิธีทางศาสนา รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามอย่างเต็มที่ ก็ได้กดดันทางอิสราเอลในเรื่องของการชันสูตรพิสูจน์อัตลักษณ์ การเสียชีวิตในภาวะสงคราม รัฐบาลอิสราเอลจะมีเงินชดเชยให้ แต่ถ้านำศพกลับมาก่อน โดยไม่มีการออกหลักฐาน อาจจะทำให้ได้รับเงินช่วยเหลือล่าช้า ยืนยันกระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาในทุกมิติ

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า วันพรุ่งนี้จะมีการหารือกับเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย จะมีการขอความเห็นใจ และขอความช่วยเหลือ เพราะเราไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง แต่เรามีการสูญเสียที่สูงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลำเลียงศพ การช่วยเหลือตัวประกัน และการเจรจาให้อิสราเอลลำเลียงคนงานที่ต้องการจะกลับให้มาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย และถึงสนามบินโดยเร็วที่สุด รวมถึงการเปิดน่านฟ้าให้เครื่องบินของเราเข้าได้ เชื่อว่าความลำบากและการสูญเสียจากเหตุความรุนแรง ทุกคนไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และพยายามแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีและรวดเร็วที่สุด ขณะเดียวกันจะมีการเจรจาขอความช่วยเหลือจากสายการบินของอิสราเอล ที่บินออกมาจากนอกอิสราเอลไปรับชาวอิสลามที่ประเทศต่างๆ ให้ช่วยรับคนไทยไปไว้ยังประเทศนั้นๆ เพื่อที่จะรอในการกลับประเทศ สิ่งที่ภาวนาคือไม่อยากให้สถานการณ์เลวร้ายไปจนถึงขั้นต้องปิดน่านฟ้า

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงแรงงานไทยที่ยังอยู่ในพื้นที่สีแดง แล้วยังถูกนายจ้างบังคับให้ทำงาน ว่าเรื่องนี้ในวันพรุ่งนี้จะมีการพูดคุยเพราะถือเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน แม้ว่ารายได้จะสำคัญแต่ความปลอดภัยต้องสำคัญที่สุด ตรงนี้จะมีการพูดคุยให้ชัดเจนกับทางเอกอัครราชทูตอิสราเอลฯ และขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะทำให้ดีที่สุด โดยเฉพาะการอพยพคนไทยออกมาถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ส่วนเรื่องเงินเรื่องงานเธอเป็นเรื่องรอง.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

วิศวกรรมสถานฯ ห่วงดินอ่อนเสี่ยงขยายวง หลังถนนหน้า รพ.วชิรพยาบาล ทรุดตัว

กรุงเทพฯ 24 ก.ย. – วิศวกรรมสถานฯ ตรวจสอบเหตุถนนทรุด หน้า รพ.วชิรพยาบาล เบื้องต้นพบยังมีน้ำรั่วซึม ทำให้ดินใต้ถนนอ่อนตัว มีโอกาสสไลด์เพิ่ม หากมีฝนตกลงมา นายธเนศ วีระศิริ ที่ปรึกษาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุผิวจราจรทรุดตัวบริเวณถนนหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ายังมีน้ำรั่วซึม ทำให้ดินใต้ถนนอ่อนตัวและมีโอกาสสไลด์เพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะหากมีฝนตกลงมา จะเพิ่มความเสี่ยงให้พื้นที่ไม่คงตัวมากขึ้น ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานเร่งหาทางปิดแหล่งน้ำที่รั่วซึม ทั้งจากท่อประปาและท่อระบายน้ำ ซึ่งยังมีน้ำไหลออกมาเป็นระยะ หากสามารถหยุดได้จะช่วยสร้างเสถียรภาพชั่วคราวให้กับดิน และลดโอกาสการขยายวงของการทรุดตัว พร้อมกันนี้มีการนำเครื่องมือสำรวจ เช่น 3D Scan มาช่วยวัดความกว้าง ความยาว และความลึกของหลุม เพื่อประเมินความปลอดภัยและแนวทางแก้ไขอย่างชัดเจน สำหรับอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาล (สน.ใหม่) พบว่าเสาเข็มบางต้นหักหรือแตกร้าว ทำให้ต้องตรวจสอบรอยร้าวของโครงสร้างอาคารอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันอันตรายต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ นายธเนศ เน้นย้ำว่า มาตรการสำคัญที่สุดในขณะนี้ คือการปิดกั้นพื้นที่เสี่ยงและไม่อนุญาตให้ประชาชนเข้าใกล้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ทั้งนี้วิศวกรรมสถานฯ ได้เสนอแนวทางเบื้องต้น คือการควบคุมน้ำไม่ให้รั่วซึม การกั้นเขตพื้นที่เสี่ยง และการติดตามโครงสร้างอาคารโดยรอบอย่างต่อเนื่อง ก่อนประเมินสถานการณ์อีกครั้งว่าพื้นที่จะกลับมาเสถียรและปลอดภัยเมื่อใด ด้านนายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยหลังลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณถนนทรุด […]

นายกฯ รุดตรวจถนนยุบ สั่งเร่งหาสาเหตุ คุมสถานการณ์ได้แล้ว

สามเสน 24 ก.ย.- นายกฯ รุดตรวจเหตุถนนสามเสนยุบตัว ขึ้นตึกวชิรพยาบาล ดูมุมสูง ชี้ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว บอกไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่ทรัพย์สินเสียหาย ห่วง สน.สามเสน เสาเข็มขาด 2-3 ต้น ประสานโรงพยาบาลในเครือ รองรับผู้ป่วย มอบโยธารวบรวมผู้เชี่ยวชาญหาสาเหตุที่แท้จริง ด้าน รฟม. น้อมรับชดเชยค่าเสียหายทุกอย่าง ขณะผู้ว่าฯ กทม. สั่งเตรียมเครื่องสูบน้ำ หวั่นฝนถล่มซ้ำ กันประชาชนเข้าใกล้รัศมี 100 เมตร ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 10.35 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ ถนนสามเสน บริเวณด้านหน้า โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รอรับและรายงานสถานการณ์ และการลงพื้นที่ครั้งนี้มี น.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารกระทรวงคมนาคม นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายไชยชนก […]

สั่งหยุดก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง พื้นที่เกิดเหตุถนนทรุด

กรุงเทพ 24 ก.ย.- รฟม. สั่งการให้หยุดก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงในพื้นที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุถนนทรุดตัว บริเวณหน้าทางเข้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ตามที่เกิดเหตุพื้นถนนทรุดตัว บริเวณหน้าทางเข้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ใกล้เคียงกับจุดก่อสร้างทางขึ้น-ลงที่ 4 สถานีวชิรพยาบาล (PP19) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 กันยายน 2568 นั้น นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้แจ้งให้นางมัลลิกา จิระพันธุ์วานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ ร่วมกับนายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อกำกับดูแลการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด โดยในเบื้องต้น ผู้ว่าการ รฟม. พร้อมด้วยผู้อำนวยการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงฯ และทีมงาน ได้สั่งการให้หยุดการก่อสร้างบริเวณพื้นที่เกิดเหตุในทันที เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ พร้อมทั้งปิดกั้นพื้นที่ก่อสร้างบางส่วน และอพยพประชาชนโดยรอบออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย รฟม. ได้ประสานหน่วยงานสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้อง ทั้งการประปานครหลวง การไฟฟ้านครหลวง บริษัทโทรคมนาคม และตำรวจในพื้นที่ เพื่อเร่งแก้ไขสถานการณ์ รวมถึงจัดการจราจรในพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้สัญจร ทั้งนี้ […]

วชิรพยาบาลปิดรับผู้ป่วยนอก 2 วัน เหตุถนนทรุดไม่กระทบอาคาร

24 ก.ย.- คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ยันตัวอาคารโรงพยาบาลไม่ได้รับผลกระทบ ขอปิดรับผู้ป่วยนอก 2 วัน รับกังวลการมาทำงานของเจ้าหน้าที่ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ผศ.นพ.จักราวุธ มณีฤทธิ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล กล่าวถึงกรณีการทรุดตัวลงของพื้นผิวถนนหน้าโรงพยาบาลวิชรพยาบาลว่า ตัวของโรงพยาบาลไม่มีผลกระทบอะไรเลย เพราะด้านหน้ามีกำแพงกั้นดินที่ลึกถึง 60 เมตร และตัวอาคารทีปังกรฯ มีกำแพงอยู่ แต่เพื่อความไม่ประมาทและการจราจรก็มีปัญหาจึงได้หยุดให้บริการตึกผู้ป่วยนอกเป็นเวลา 2 วัน และตึกดังกล่าวไม่ได้มีการอพยพผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยทั้งหมดในตึกนั้นเป็นผู้ป่วยนอกจึงไม่จำเป็นที่จะต้องอพยพ ทั้งนี้ หากมีเหตุจำเป็นและเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินทางโรงพยาบาลยังเปิดให้บริการอยู่ ตอนนี้เราเป็นห่วงในเรื่องของการจราจรส่วนอาคารนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร ในส่วนของการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยก็ยังสามารถใช้ประตูอื่นบริเวณโดยรอบโรงพยาบาลได้ ส่วนที่เรากังวลคือการเดินทางมาทำงานของเจ้าหน้าที่ภายในโรงพยาบาล. -สำนักข่าวไทย