รัฐสภา 9 ส.ค. – “พริษฐ์” รอดู “เพื่อไทย” เตรียมขอขมา โบ้ยคณะเจรจาชี้แจงให้ความเห็น ย้ำ “ก้าวไกล” ชัดเจนมาโดยตลอดในอุดมการณ์ 8 พรรคร่วมฯ ลั่นตนคิดว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเราในการจัดตั้งรัฐบาล
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังแถลงข่าวเสนอร่างกฎหมาย 9 ฉบับต่อสภาฯ ถึงกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุว่า จะมีการนัดหารือกับทางพรรคก้าวไกล และหากมีข้อผิดใจกันก็พร้อมที่จะขอโทษ รวมถึงจะขอการสนับสนุนจากก้าวไกลให้ยกมือโหวตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยนั้น
นายพริษฐ์ ระบุว่า ส่วนตัวไม่ได้ทราบล่วงหน้ามาก่อน เป็นข้อมูลที่เพิ่งทราบจากสื่อมวลชนในขณะนี้ ส่วนท่าทีของพรรคก้าวไกลจะเป็นอย่างไรนั้น จะให้คณะผู้เจรจาของพรรคที่รู้ข้อมูลครบถ้วนมาชี้แจง
ส่วนหากเพื่อไทยจะมาขอโทษนั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าตนเองได้แสดงความเห็นไว้ชัดเจนแล้วว่า รอดูจุดยืนที่ชัดเจนของพรรคมากกว่าที่จะแถลงความเห็นส่วนตัว
เมื่อถามว่า การประชุม สส.พรรคก้าวไกล เมื่อวานนี้ (8 ส.ค.) สส.ส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ หากแกนนำจะมีการระบุว่าโหวตหรือไม่โหวตให้พรรคเพื่อไทย นายพริษฐ์ กล่าวว่า ทางพรรคไม่ได้มีการพูดคุยวาระในเรื่องนี้ ส่วนใหญ่เป็นวาระที่จะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ และการผลักดันร่างกฎหมาย
ส่วนกรณีเรื่องตำแหน่งนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 จะต้องมีการลาออกหรือไม่ หากจะรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน นายพริษฐ์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งด่วนสรุปแบบนั้น ข้อกฎหมายที่ถูกระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ เราทราบดีอยู่แล้ว ตนคิดว่าเป็นการพูดคุยที่ต้องเกิดขึ้น หากมาถึงวันนั้น ค่อยมาคุยกัน
นายพริษฐ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ต้องรอดูท่าทีที่ชัดเจนว่า รัฐบาลใหม่จะประกอบด้วยพรรคใดบ้าง นายกรัฐมนตรีจะเป็นใคร จะขับเคลื่อนวาระ มีความชัดเจนตรงนี้หรือไม่ ถึงจะมาพูดคุยกัน
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยระบุว่าต้องการสลายขั้ว และก้าวไกลก็เป็นหนึ่งในนั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าจุดยืนพรรคก้าวไกลชัดเจนมาตลอดว่า ในวันที่ 14 พฤษภาคม ได้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลง คะแนนต่างๆ 8 พรรคการเมืองต่างๆ ที่ได้เซ็น MOU ร่วมกัน หลังจากผลการเลือกตั้งปรากฏออกมา เพราะฉะนั้น เรายังยืนยันว่า พันธมิตรจาก 8 พรรคเดิม เป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ
เมื่อถามว่า คิดว่าสลายขั้วได้ง่ายขนาดนั้นหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า อย่างที่ตนบอกว่า เราคิดว่าตอบโจทย์ประเทศและเป็นไปตามมติประชาชน ที่เคารพเสียงประชาชน คือพันธมิตร 8 พรรค
เมื่อถามย้ำว่า จะสลายไม่ได้เลยใช่หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลชัดเจนมาตลอดว่า มีความประสงค์ที่จะให้การจัดตั้งรัฐบาล นอกจาก 8 พรรคที่เซ็น MOU อยู่ร่วมกัน พรรคก้าวไกลไม่เคยแสดงท่าทีที่จะนำไปสู่การแบ่ง 8 พรรคแยกออกจากกัน
เมื่อถามว่า มองอย่างไรกับรัฐบาลพิเศษ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนคิดว่ารัฐบาลที่ตอบโจทย์ประเทศมากที่สุดน่าจะเป็นรัฐบาลที่เป็นไปตามผลการเลือกตั้ง ซึ่งในเมื่อพรรคที่ได้รับความไว้วางใจเป็นอันดับหนึ่งตามครรลองประชาธิปไตย สามารถรวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร และพรรคที่มีอุดมการณ์เดียวกัน 8 พรรคมาร่วมรัฐบาลก็จะเป็นเสถียรภาพ ยังยืนยันคำเดิมว่า รัฐบาลที่ตอบโจทย์ในอนาคตของประเทศและเป็นทางออกให้ประชาธิปไตย คือ 8 พรรคการเมือง
เมื่อถามถึงการที่พรรคเพื่อไทยเตรียมขอขมา นายพริษฐ์ ยิ้ม พร้อมตอบว่า ต้องรอดูบทสนทนาว่า ข้อมูลล่าสุดเป็นอย่างไร ต้องให้คณะเจรจาที่มีบทบาทความรับผิดชอบในการพูดคุยกับพรรคการเมืองให้ข้อมูลดีกว่า ตนไม่มีข้อมูลครบถ้วน
เมื่อถามว่า ส่วนตัวยังหวังอยู่หรือไม่ นายพริษฐ์ ย้ำว่า พอไม่มีข้อมูลครบถ้วน ก็ไม่รู้ว่าจะหวังหรือไม่หวัง หรืออะไร
เมื่อถามว่า มองว่าพรรคการเมืองฝ่ายค้านและรัฐบาลยังเป็นรูปแบบการเมืองแบบเก่าอยู่หรือไม่ เพราะอีกฝั่งพยายามเสนอว่า การเมืองแบบใหม่คือไม่มีฝ่ายค้าน ทุกคนสามารถเป็นรัฐบาล นายพริษฐ์ กล่าวว่า สิ่งที่เราต้องการคือการเมืองแบบปกติ ซึ่งในกติกาปกติ การเลือกนายกรัฐมนตรี การจัดตั้งรัฐบาล เป็นไปตามมติของสภาผู้แทนราษฎร 500 คน มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพราะฉะนั้น เรื่องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยังดำรงอยู่ สว. 250 คน มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้รัฐบาลต้องเผชิญความท้าทาย
นายพริษฐ์ ระบุว่า สิ่งที่เราต้องการยืนยันว่าอยากเห็นประชาธิปไตยแบบปกติ คือเราต้องไม่ปล่อยอำนาจของ สว.ในการเลือกนายกฯ ตามมาตรา 272 คือเข้ามาแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล เป็นการแทรกแซงในลักษณะใช้อำนาจ มีสองวิธีหลัก การแทรกแซงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย อีกวิธีเป็นการแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากสูตรพิสดาร เป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่อาจจะมีเสียงกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แต่เป็นการผสมผสานของพรรคการเมืองที่ถูกบีบจาก สว.ให้มารวมตัวกัน ไม่ได้ยึดโยงกับผลการเลือกตั้ง หรืออุดมการณ์ของแต่ละพรรค เพราะฉะนั้น จุดยืนของก้าวไกล ตนคิดว่าอย่าปล่อยให้อำนาจ สว. มาแทรกแซงกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลตามที่จะเป็นไปตามปกติ
เมื่อถามว่า หากท้ายที่สุดพรรคก้าวไกลถูกบีบให้เป็นพรรคฝ่ายค้าน โดดเดี่ยวเดียวดายพรรคเดียว แต่พรรคอื่นไปตั้งรัฐบาลพิเศษ เพื่อผลประโยชน์หรือการต่อรองใดๆ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าพรรคก้าวไกลชัดเจนมาโดยตลอดว่า ภารกิจและเป้าหมายสำคัญสูงสุดของพรรคก้าวไกล คือ การสร้างการเปลี่ยนแปลง ให้ตอบโจทย์กับคนทั้งประเทศ ในเมื่อเป้าหมายสูงสุดของเราคือการสร้างการเปลี่ยนแปลง เราตระหนักดีว่า เราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ก็ต้องมีอำนาจรัฐ เป็นรัฐบาลเข้าไปขับเคลื่อนนโยบาย และยิ่งเราได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ตนคิดว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเราในการจัดตั้งรัฐบาล แต่หากการได้มาซึ่งอำนาจ ต้องแลกมาด้วยอะไรที่ทำไม่ดี ต้องถามว่า เราจะทำแบบนั้นทำไม. – สำนักข่าวไทย