ชาติไทยพัฒนา 26 ก.ค. – “วราวุธ” ชี้ หัวใจสำคัญอยู่ที่ 2 พรรคใหญ่จะเดินหน้าตั้งรัฐบาลแบบไหนให้ ประเทศเดินหน้าได้ ย้ำทอดเวลา 10 เดือนไม่เหมาะ แนะให้คิดถึงประโยชน์ชาติ อย่ายึดติดความแค้น หลายงานรอสานต่อ
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวถึงการงดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (27 ก.ค.) ว่า จะส่งผลให้ขั้นตอนบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลใหม่ล่าช้าออกไป เมื่อยังไม่มีนายกรัฐมนตรีใหม่ จะยังไม่มีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ การพิจารณาทำงานเรื่องต่าง ๆ เช่น งบประมาณก็จะล่าช้าออกไป ต้องเข้าใจก่อนว่าการบริหารราชการแผ่นดินทุกอย่างมีกรอบเวลา ยังไม่นับถึงสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ข้อตกลงต่างประเทศหลายอย่างที่ประเทศไทยมีความร่วมมือและลงนามไว้ ซึ่งเป็นพันธะที่เราต้องดำเนินการ การทำงานภายใต้สถานะรัฐบาลที่ไม่เต็มตัวนั้นมีข้อจำกัดหลายอย่าง ดังนั้น การที่มีผู้เสนอให้รัฐบาลรักษาการไปอีก 10 เดือน ไม่สามารถทำได้ เชื่อว่าความคิดดังกล่าวเป็นความคิดส่วนบุคคล และ 8 พรรคร่วม รวมทั้งพรรคที่ได้เสียงข้างมากทราบดีอยู่แล้ว เข้าใจดีว่าข้อจำกัดเรื่องการใช้งบประมาณ การอนุมัติกรอบงบประมาณ การทำงานระหว่างประเทศมีความสำคัญเพียงใด
“ยกตัวอย่างเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งเป็นงานดูแลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) มีเรื่องที่จะต้องทำกับต่างประเทศมากมาย ซึ่งรัฐบาลที่อยู่ในช่วงยังไม่เป็นรัฐบาลเต็มตัวไม่สามารถดำเนินการได้ ทำได้เพียงขอความเห็นชอบจากแต่ละหน่วยงาน ไม่มีอำนาจเต็มตัว และยังกระทบไปถึงระบบเศรษฐกิจ การส่งออก และอีกหลายๆเรื่อง ดังนั้น เรื่องของการรักษาการไปอีก 10 เดือนนั้น ผมคิดว่าคงไม่เหมาะสม” นายวราวุธ กล่าว
ส่วนหากทอดเวลาออกไป ยังไม่ได้นายกรัฐมนตรีและครม.ชุดใหม่ ทางออกควรเป็นอย่างไร นายวราวุธ กล่าวว่า 8 พรรคที่จับมือกันอยู่นั้นคงเข้าใจถึงสภาพเป็นอย่างดี 8 พรรค 312 เสียง สองพรรคใหญ่192เสียง ดังนั้น หัวใจสำคัญอยู่ที่พรรคใดพรรคหนึ่งคงต้องพิจารณาว่าหากจะให้ประเทศไทยเดินหน้าต้องทำอย่างไร เป็นสิทธิ์ที่พรรคใหญ่จะต้องพิจารณา
เมื่อถามว่าทางพรรคก้าวไกลระบุไม่เอาพรรคพลังประชารัฐกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาจะทำงานกับก้าวไกลได้หรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า เป็นการตอกย้ำในสิ่งที่ตนเคยพูดไว้ว่าแต่ละพรรคจะมีแนวทางการทำงานที่แตกต่างกันไป พรรคก้าวไกลก็มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าทำงานในลักษณะใด พรรคชาติไทยพัฒนาเองตนย้ำเสมอตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ จุดยืนเราไม่เคยเปลี่ยน
เมื่อถามย้ำว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้โหวตชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกลซ้ำได้อีก ชาติไทยพัฒนาจะโหวตเหมือนเดิมหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า ทุกครั้งที่สภาฯ จะโหวตเรื่องสำคัญพรรคชาติไทยพัฒนาเราต้องประชุมหารือกันก่อนทุกครั้ง ตนตอบแทน สส. คนอื่นไม่ได้ เพราะเวลาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นไม่ใช่มติพรรค แต่เป็นเอกสิทธิ์ของ สส. แต่ละคน ต้องประชุมกันก่อนเหมือนทุกครั้ง
ส่วนหากสุดท้ายแล้วไม่สามารถโหวตนายกฯได้ ใครควรจะเป็นผู้เสียสละ นายวราวุธ กล่าวว่า อย่างที่บอกข้างต้น 8พรรคที่หารือกัน 2 พรรคใหญ่ต้องพิจารณากันแล้วว่าควรจะดำเนินการกันอย่างไร เพราะแต่ละคนล้วนแต่เป็นผู้มีประสบการณ์และมีความสามารถ คงวางแนวทางกันได้ คิดกันได้ว่าควรจะเป็นอย่างไร จะดันทุรังต่อ จะเอาอนาคตหรือประชาชนมาเป็นตัวประกันหรืออย่างไร ก็คงต้องสุดแล้วแต่ 2 พรรคใหญ่จะพิจารณา
“ถ้าใครได้มีโอกาสย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การเมืองไทย สมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งนั้นนายบรรหารโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างหนักหนาสากรรจ์มากที่สุด แต่เมื่อยุบสภาแล้วมีรัฐบาลใหม่เลือกตั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ได้เสียงข้างมาก แต่จะไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ หากพรรคชาติไทยในขณะนั้นไม่เข้าร่วมรัฐบาลด้วย มีการมาทาบทามเชิญ ผมไม่ได้ต้องการฟื้นฝอยหาตะเข็บ เพียงแต่อยากบอกว่า วันนั้นถ้านายบรรหารยังยึดติดกับความโกรธแค้นที่มีจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ ในวันนั้นการเมืองไทยและเศรษฐกิจไทยจะไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้ ฉะนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่งต้องใช้ความอดทน อดกลั้น มองถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติมาก่อน” นายวราวุธ กล่าว
นายวราวุธ กล่าวว่า ที่ยกประวัติศาสตร์การเมืองไทยนี้ขึ้นมา เพื่อเตือนสติหลาย ๆ ฝ่าย ว่าอย่าเอาความโกรธแค้นส่วนตัว อย่าเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเป็นเหตุอ้างในการทำให้ประเทศชาติไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้ เรื่องที่เกิดขึ้นผ่านมาหลาย 10 ปีแล้ว แต่ที่หยิบยกมาเพราะเป็นหลักการในการทำงานด้านการเมือง แม้ว่าสถานการณ์เปลี่ยน ความคิดคนเปลี่ยน แต่หลักการทางการเมืองไม่เคยเปลี่ยน ยึดผลประโยชน์ของประเทศ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้
“วันนี้เรากำลังมาถึงจุดเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยอีกจุดหนึ่ง หากทุกฝ่ายเอาทิฐิมานะเป็นที่ตั้ง ไม่ยอมกันท่าเดียว ประเทศชาติก็จะไปไม่ได้ ต้องขอฝากหลาย ๆ ฝ่ายที่มีคะแนนเสียงอยู่ในมือ คิดถึงอนาคตของประเทศชาติ แล้วมาคิดกันจริงจังว่าจะทำอย่างไร” นายวราวุธ กล่าว.-สำนักข่าวไทย