รัฐสภา 13 ก.ค. – “พิธา” อภิปรายสรุป วอน “ส.ว.” ที่ยังแคลงใจปม ม.112 ร่วมกันหาทางออกอย่างมีวุฒิภาวะ โดยกลไกสภาฯ เพื่อธำรงสถาบันสง่างามในสังคมไทย ไม่ถูกดึงใช้เป็นเครื่องมือการเมือง ขอตัดสินใจโหวตตามความหวังประชาชน อย่าปิดกั้นประเทศไม่ให้เดินต่อ
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นอภิปรายสรุป ก่อนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยย้ำว่าวันนี้ผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว 2 เดือน เชื่อว่าประชาชนเห็นการดีเบต พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งเศรษฐกิจดี ปากท้องดี และการจะเดินหน้าทำให้ประเทศไทยก้าวข้ามรายได้ปานกลางมากกว่า 35 ปี รวมถึงเศรษฐกิจเติบโต ควบคู่ไปกับการลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร
นายพิธา กล่าวว่า วันนี้เราต้องสื่อสารกับคนที่อยู่ในสภาฯ 750 คน และตรงๆ คือ ส.ว. ซึ่งหลังตนได้ฟังการอภิปราย และจากการทำงานร่วมกันมาตลอด 4 ปี “เรามีอะไรเหมือนกัน มากกว่าสิ่งที่เราแตกต่างกัน” แม้กระทั่งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา มี ส.ว. ลงมติปิดสวิตช์ตัวเองถึง 63 คน แต่ครั้งนี้หากทำให้การเลือกนายกรัฐมนตรีไปต่อได้ การ “งดออกเสียง” ไม่ถือเป็นการปิดสวิตช์ ดังนั้น “ตนคิดว่าวันนี้เป็นประตูแห่งโอกาส ที่เราทำงานภายใต้รัฐบาลชุดต่อไป ในการแก้ปัญหา และรับมือกับความท้าทายของประเทศไทย
“ตนทราบดีหลายคนยังคลางแคลงใจในตัวตน ถึงจุดยืนเกี่ยวกับเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งฟังดูแล้ว เป้าหมายของทั้งสภาฯ เหมือนกัน เพียงแต่วิธีในการประเมิน เข้าถึงเป้าหมายต่างกัน ทั้งนี้ ในมุมมองตน คือ การธำรงไว้ซึ่งสถาบันให้อยู่กับประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ต้องไม่อนุญาตให้ใครใช้สถาบันมาเป็นเครื่องมือโจมตีทางการเมือง จึงอยากให้มองกันยาวๆ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพราะถ้าย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2549 ถือเป็นหมุดหมาย จุดเริ่มต้นความขัดแย้ง ที่สถาบันถูกนำมาใช้เครื่องมือของคนบางกลุ่ม เพื่อล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง รวมถึงบุคคลที่นำมาแอบอ้าง จึงถามว่าไม่ใช่พวกเราหรือครับที่ผูกกันมา” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวว่า ปัจจุบันมีหลายกลุ่มต้องการสกัดตนเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อไม่ให้ได้เสียงข้างมากเป็นรัฐบาล เพราะกำลังเสียประโยชน์ทางธุรกิจ และพยายามดึงสถาบัน มาปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง จึงอยากเชิญชวนวิญญูชน ให้มีสติไตร่ตรองว่าการทำเช่นนี้มีราคาต้นทุนอย่างไรกับสังคม และตนเชื่อว่าถ้าไม่มีใครประกาศสู้เพื่อในหลวง อิงแอบสถาบัน ถ้าไม่มีใครเอาเรื่องล้มล้างมาปลุกปั่นการเมืองให้คนเกลียดชังกันเพื่อประโยชน์การเมือง ถ้าเราไม่ใช้กฎหมาย 112 มาทำลายล้างกัน ความขัดแย้งในสังคมคงยังไม่มาถึงจุดนี้ และขอให้เรามาแก้ที่ต้นตออย่างมีวุฒิภาวะ แก้ปัญหาที่ต้นตอด้วยการยุติ การนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นประเด็นทางการเมือง เพื่อพัฒนา รักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดี ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน ทำแบบนี้ สถาบันที่เรารักจะธำรงไว้อย่างสง่างามในสังคมไทย ตามยุคสมัยใหม่
“ตนขอเสนอตัวเองเป็นฉันทามติความปกติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น จะต้องถูกต่อต้านจากสิ่งเก่า และเชื่อว่าสังคมต้องหาจุดลงตัว ไม่มีใครได้ทั้งหมด หรือเสียทั้งหมด สามารถยอมรับร่วมกันได้ แม้ไม่เห็นตรงกันทุกเรื่อง เราต้องสร้างสังคมที่รับความแตกต่างหลากหลายทุกด้าน นี่คือก้าวสำคัญของสังคม ควรนำเรื่องที่คนเห็นแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปกองทัพ ผูกขาดเศรษฐกิจ การจัดการที่ดิน การเลือกตั้งผู้ว่าฯ การสร้างสันติภาพชายแดนใต้ รวมถึงเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ที่เรามาหาข้อยุติร่วมกัน โดยใช้กลไกในสภาฯ ต้องบริหารจัดการความเห็นต่าง ไม่มองประชาชนเป็นศัตรูของชาติ” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวว่า สิ่งที่เรากำลังจะร่วมกันทำนี้ ไม่ใช่เป็นการลงมติเลือกนายพิธา ไม่ใช่การลงมติเลือกพรรคก้าวไกล แต่เป็นการเลือกยืนยันหลักการประชาธิปไตย และเป็นการเลือกให้โอกาสประเทศไทย เพื่อคืนความปกติให้การเมืองไทย ทำตามฉันทามติที่ประชาชนตัดสินใจแล้ว ซึ่งตนไม่สามารถทำให้สำเร็จคนเดียว ต้องอาศัยการตัดสินใจของสมาชิกรัฐสภา ด้วยหลักการและความกล้าหาญ เห็นแก่อนาคตของชาติ ที่มีประชาชนอยู่ในหัวใจ ดังนั้น อย่าให้ความคลางแคลงใจตนมาปิดกั้นประเทศไม่ให้เดินต่อ และขอให้การตัดสินใจที่สะท้อนความหวังของประชาชน อย่าให้สะท้อนในความกลัว.-สำนักข่าวไทย