รัฐสภา 12 ก.ค.-“ก้าวไกล” แถลงค้านมติ กกต.รีบเร่งผิดปกติ ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ปม “พิธา” ถือหุ้นสื่อ ย้ำไม่แจ้งข้อกล่าวหา ชี้เทียบคดีเงินกู้ยุบพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้ จี้ “กกต.-องค์กรอิสระ” อย่าลุแก่อำนาจ ยันไม่กระทบโหวตเลือกนายกฯ หวัง ส.ว.มีสติ-เป็นธรรม ระบุพรุ่งนี้เป็นโอกาสและทางแยก เชื่อครั้งนี้ประชาชนไม่ยอม
นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล อ่านแถลงการณ์พรรคก้าวไกล กรณีการดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คดีการถือหุ้นไอทีวี ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ที่มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและพิจารณาสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.แล้วนั้น พรรคก้าวไกลเห็นว่า เมื่อพิจารณาระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วเห็นว่า สิ่งที่ประธาน กกต.กล่าวนั้นไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุผลดังนี้
ข้อ 1. สำหรับคดีหุ้นไอทีวี ไม่อาจนำกรณีตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 5/2563 (คดีเงินกู้ยุบพรรคอนาคตใหม่) มาเทียบเคียงกับข้อเท็จจริงคดีนี้ได้ ด้วยเหตุผลอย่างน้อย 2 ประการ 1. ข้อเท็จจริงในคดีหุ้นไอทีวี เป็นคดีการเสนอคำร้องตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 82 ประกอบมาตรา 101 (6) และมาตรา 98 (3) มิใช่เป็นการนำบทบัญญัติมาตรา 92 และมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ข้อ 54 วรรคหนึ่ง และข้อ 55 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับแก่คดี จึงไม่อาจนำแนวทางการตีความของศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าวมาใช้บังคับแก่เรื่องนี้ได้ 2. ในคดีตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว เป็นกรณีที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต. มีมติว่า ข้อกล่าวหาไม่มีมูล แล้วนำเสนอต่อ กกต. แต่ปรากฏว่า กกต.ไม่เห็นพ้องด้วย กรณีจึงไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด
นายชัยธวัช กล่าวว่า ส่วนข้อเท็จจริงในคดีหุ้นไอทีวี ถ้าคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต. มีความเห็นว่าข้อเท็จจริงมีมูลตามคำร้อง ย่อมมีหน้าที่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาตามข้อ 54 วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 (แก้ไขเพิ่มเติม 2563) ต่อนายพิธา ให้ครบถ้วนเสียก่อนที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนจะทำรายงานการสืบสวนตามข้อ 59 แห่งระเบียบดังกล่าว เสนอต่อเลขาธิการ กกต. และ กกต. ต่อไป
ข้อ 2. ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ เป็นกรณีที่ความปรากฏต่อ กกต. ให้ตรวจสอบว่า นายพิธา ตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 (และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม) กำหนดกระบวนการขั้นตอนรองรับอย่างชัดเจน ตั้งแต่การยื่นคำร้อง การตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน และการวินิจฉัยของ กกต. ด้วยเหตุนี้ เมื่อ กกต.ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนดำเนินการตามระเบียบดังกล่าวมาโดยตลอด ในกรณีที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนพิจารณาแล้วเห็นว่า มีพยานหลักฐานสนับสนุนพอฟังได้ว่า นายพิธา กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ย่อมต้องดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาตามระเบียบฯ ข้อ 54 และเปิดโอกาสให้นายพิธา ชี้แจงข้อกล่าวหาตามข้อ 57 และข้อ 58 แห่งระเบียบฉบับเดียวกัน
นายชัยธวัช กล่าวอีกว่า ด้วยเหตุนี้ การที่ กกต.จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 82 กกต.จะต้องปฏิบัติตามระเบียบให้ครบถ้วนดังที่กล่าวไปเสียก่อน การที่ กกต.จะเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญอย่างรีบเร่ง โดยยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา และไม่เปิดโอกาสให้มีการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าเป็นเพียงการตรวจสอบข้อเท็จจริงเท่านั้น จึงไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดไว้ กรณีจึงเท่ากับว่า กกต.ปฏิบัติตามระเบียบแต่เพียงบางส่วน และจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่ตนได้ตราขึ้น อันอาจเป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ได้
“มีการตั้งข้อสังเกตว่า ทำไม กกต.ถึงรีบเร่งดำเนินการในคดีหุ้นไอทีวีอย่างผิดปกติ ทั้งที่เรื่องหุ้นไอทีวี ก่อนหน้านี้มีข้อพิรุธและมีข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางว่า ตกลงแล้วไอทีวียังคงดำเนินธุรกิจสื่ออยู่หรือไม่ มีการจงใจทำเอกสารการประชุมและงบการเงินไม่ตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่ แต่ กกต.กลับรีบประชุมติดกัน 3 วัน ทันทีที่ได้รับเรื่อง เพื่อเร่งสรุปให้ได้ว่ามีข้อมูลเพียงพอให้เชื่อได้ว่า นายพิธามีความผิดตามที่ยื่นคำร้องจริง เรื่องนี้ตนทราบมาว่า ทาง กกต.ได้เชิญผู้บริหารไอทีวีมาชี้แจงกับ กกต.แล้ว และผู้บริหารได้ให้ข้อมูลว่า ไอทีวีไม่ได้ดำเนินธุรกิจสื่อ ดังนั้น แม้ กกต.พยายามอ้างเหตุผลมากมายว่าไม่จำเป็นต้องแจ้งข้อกล่าวหากับนายพิธา เพื่อให้นายพิธามาชี้แจงก่อน แต่คำถามคือ ในขณะที่ กกต.ยังมีเวลาเชิญไอทีวีไปชี้แจง แล้ว กกต.มีเหตุผลอะไรที่รับฟังได้ว่าจะไม่ยอมเสียเวลาให้นายพิธาได้รับทราบข้อกล่าวหาและมีโอกาสชี้แจงบ้าง เพื่อให้ กกต.สามารถพิจารณาข้อเท็จจริงได้อย่างรอบด้านและเป็นธรรม” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวว่า นอกจากนี้ หากผู้บริหารไอทีวีได้ชี้แจงกับ กกต.แล้วจริง ว่าไม่ได้ดำเนินธุรกิจสื่อมวลชน กกต.ใช้หลักฐานอะไรที่นำไปสู่ข้อสรุปที่บอกว่า ตนเองเชื่อว่ามีความผิดตามที่มีการยื่นคำร้องจริง เพื่อรีบเร่งให้ได้ ซึ่งความรีบเร่งผิดปกติเห็นได้จากมีมติตอนเช้า นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รีบเร่งเซ็นเอกสาร และให้สำนักงานเลขาธิการ กกต.ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญทันที เพื่อให้ทันการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในตอนบ่าย พร้อมกล่าวเหน็บว่า หากทุกหน่วยงานราชการทำงานไว ประเทศชาติก็จะเจริญ
“อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามกับสังคมว่า กกต.มีเจตนาที่จะส่งลูกให้ศาลรัฐธรรมนูญ นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมประจำสัปดาห์ทันทีในบ่ายวันนี้ เพื่อให้นายพิธา ถูกสั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ให้ได้ในวันนี้ ก่อนที่จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันพรุ่งนี้ (13 ก.ค.) ใช่หรือไม่” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลายปีที่ผ่านมา โดยใช้นิติสงคราม บทบาทขององค์กรอิสระ รวมไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ถูกตั้งข้อสงสัยมาโดยตลอด ว่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มการเมืองใดกลุ่มการเมืองหนึ่งหรือไม่ กรณีที่เกิดขึ้นในวันนี้และหลังจากนี้อีกไม่นาน จะเป็นข้อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้นเป็นจริงหรือไม่
“เราในฐานะผู้แทนราษฎร ขอฝากเสียงเตือนจากพี่น้องประชาชนไปยัง กกต. และองค์กรอิสระทั้งหมด ว่า ท่านอย่าลุแก่อำนาจจนเกินขอบเขต วันใดวันหนึ่งเมื่อการเมืองกลับมาเป็นปกติ ประชาชนจะลงโทษพวกท่าน” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช ยังกล่าวว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในช่วงบ่ายวันนี้ (12 ก.ค.) ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตนและสมาชิกพรรคก้าวไกล และเพื่อนสมาชิกอีก 7 พรรคการเมือง ยืนยันว่าจะไม่กระทบกับการเสนอรายชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ในวันพรุ่งนี้ (13 ก.ค.) แม้จะชงลูกรับลูกกันอย่างรวดเร็ว เพื่อให้สั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่ของนายพิธา แต่นายพิธายังมีสิทธิ 100% ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 จากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน ขอประชาชนที่อาจมีความกังวลใจ อย่าตื่นตระหนกตกใจ เรายืนยันว่า ความชอบธรรมที่สูงสุดคืออำนาจของประชาชน พรรคก้าวไกลมีหน้าที่รับผิดชอบต่อเสียงของประชาชน และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด” นายชัยธวัช กล่าว
ส่วนกังวลหรือไม่ว่า กรณีดังกล่าวจะมีผลต่อการตัดสินใจของ ส.ว. นายชัยธวัช ระบุว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าเรื่องนี้เป็นขบวนการที่หวังผลทางการเมืองจริงๆ มีการบิดเบือนเจตนารมณ์ในการบังคับใช้กฎหมาย บิดเบือนระเบียบข้อบังคับต่างๆ ย่อมต้องหวังผลทางการเมือง แต่เราก็เชื่อว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มากเพียงพอ ที่มีสติ มีความเป็นธรรม มีวิจารณญาณเห็นว่า ข้อกล่าวหาเหล่านี้ยังไม่สามารถเป็นบทสรุปได้ว่านายพิธามีความผิด กระบวนการยังไม่สิ้นสุด และไม่ใช่หน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่จะวินิจฉัยเรื่องนี้ ถือเป็นคนละส่วนกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ยังเชื่อมั่นว่ายังมี ส.ว.ที่อยู่ข้างความถูกต้อง และยืนยันที่จะใช้เอกสิทธิ์ของตนเองเป็นไปตามเสียงของพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้แสดงออกผ่านการเลือกตั้ง
ส่วนจะฟ้อง กกต.หรือไม่ ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ นายชัยธวัช กล่าวว่า กำลังพิจารณาอยู่ ทั้งนี้ แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะยังไม่รับคำร้องเพื่อวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวในบ่ายวันนี้ (12 ก.ค.) มองว่า ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี สิ่งที่เกิดขึ้นยังเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบ และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พร้อมยืนยันกระบวนการตรวจสอบของ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคนละส่วนกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่มีบางส่วน บางฝ่ายพยายามที่จะใช้เรื่องนี้ในการอ้างเหตุผลว่าจะไม่โหวตเลือกนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ เชื่อว่า เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวและไม่เป็นเหตุให้เกิดการ เลื่อนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันพรุ่งนี้ (13 ก.ค.) และเชื่อมั่นในประธานรัฐสภา ที่จะมีหลักที่ชัดเจน
นายชัยธวัช กล่าวว่า กกต.พยายามจะใช้บรรทัดฐานเดียวกับเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งตนยืนยันว่า ไม่สามารถเทียบเคียงกันได้ โดยข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ในการปฏิบัติและขบวนการที่ไม่เหมือนกัน พร้อมยืนยันว่า ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร นายพิธา มีสิทธิถูกต้องตามกฎหมาย ในการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และสามารถเสนอชื่อนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนเดิม ไม่มีแผนใดเพิ่มเติม และยังหวังว่าสิ่งที่ผิดปกติจะไม่เกิดขึ้น กระบวนการนิติสงครามที่ค้านสายตาประชาชนมาโดยตลอด 10 กว่าปี จะไม่เกิดขึ้นอีก
ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้จะเป็นการวนลูป เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า เชื่อว่ามีบางฟากบางฝ่ายต้องการให้เป็นแบบนั้น โดยไม่เห็นแก่บ้านเมืองและไม่เห็นหัวประชาชน
“วันพรุ่งนี้ (13 ก.ค.) จะเป็นโอกาสและทางแยกของสังคมไทย ว่าเราจะวนกลับไปสู่การเมืองที่ไม่เห็นหัวประชาชนเหมือนเดิม หรือจะเป็นโอกาสที่เราจะคืนความปกติให้ระบอบประชาธิปไตยของไทย และพาประเทศไทยไปข้างหน้า ผู้มีอำนาจมีโอกาสที่จะเลือก และผมเชื่อว่า คราวนี้ประชาชนจะไม่ยอม” นายชัยธวัช กล่าว.-สำนักข่าวไทย