อสมท 12 ก.ค.- “อ.วันวิชิต” ประเมิน 13 ก.ค.ยังเสนอชื่อ “พิธา” ชิงตำแหน่งนายกฯ ไร้ปัญหา ขณะที่จุดยืน ส.ว.แต่ละคนคงไม่เปลี่ยน ชี้ หากมีคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ไม่กระทบนายกฯ มอง “บิ๊กตู่” วางมือทางการเมือง ลดกระแสรัฐบาลเสียงข้างน้อยสิ้นสุดระบบ 3ป.
ผศ.ดร. วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต กล่าวถึงท่าทีก่อนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ทั้งการเดินสายขอบคุณประชาชนของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี รวมถึงกระแสข่าวการ ให้ผลประโยชน์ ส.ว.แลกการโหวตนายกรัฐมนตรี ว่า สงครามการชิงพื้นที่ข่าวสาร เพื่อลดทอนความชอบธรรมของแต่ละฝ่าย จะมีผลไปถึงวันพรุ่งนี้ (13 ก.ค.) จนนาทีสุดท้าย และสิ่งที่เกิดขึ้นกับนายพิธา จะถูกนำมาอ้างเป็นข้อมูลใหม่ ประกอบการพิจารณาของวุฒิสมาชิกเป็นข้ออ้างให้มีความชอบธรรมในน้ำหนักมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดความชัดเจนของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ต่อการโหวต เลือกนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็น ส.ว. ที่งดออกเสียง หรือจะไม่เลือกนายพิธา มีความชัดเจนในจุดยืนอยู่แล้ว ก็เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับนายพิธาคง ไม่เปลี่ยนแปลงความเห็นต่อ วุฒิสมาชิกบางคนที่แสดงเจตจำนงต่อหลักการเคารพเสียงรัฐบาลข้างมาก แม้อาจจะมีผลต่อจิตวิทยาทางการเมือง แต่ก็เชื่อว่าวุฒิสภาก็มีจุดยืนไว้ในใจอยู่แล้ว
เมื่อถามถึง มติ กกต. ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ ของนายพิธา กรณีการถือหุ้นไอทีวี พร้อมขอให้ศาลพิจารณาสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ จะเป็นอุปสรรค เงื่อนไข อย่างไร ในการเสนอชื่อนายพิธา หรือไม่ ผศ.ดร. วันวิชิต กล่าวว่า ท้ายที่สุดมติยืนยันการเสนอชื่อนายพิธา เป็นแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรี ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ คงไม่เปลี่ยนแปลง และที่สำคัญ 6 ชั่วโมงที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เปิดพื้นที่ให้ทั้งสองสภาได้อภิปรายแลกเปลี่ยน แก้ข้อทักท้วงกัน จะเป็นโอกาสที่นายพิธา และสมาชิก 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาล ได้ชี้แจงข้อสงสัย มองว่ากระบวนการคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สารสำคัญ คือบรรยากาศนอกสภา แรงกดดันความคาดหวังทั้งคนที่เอาใจช่วย สนับสนุนนายพิธา คงจะเขม็งเกลียวมาก ซึ่งคงมีผลต่อสถานการณ์การเมืองไทยที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
เมื่อถามว่าท้ายคำร้องของ กกต. ขอให้ศาลพิจารณาสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ของนายพิธา จะมีผลอย่างไรบ้าง ผศ.ดร. วันวิชิต กล่าวว่า คงไม่แตกต่างในสมัยการเลือกตั้งปี 2562 ที่มีการเสนอชื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากพรรคอนาคตใหม่เป็นแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรี ซึ่งก็เหมือนกันคือมีการขอให้ ศาลพิจารณาสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. แต่เป็นคนละส่วน คนละตำแหน่ง เพราะนายกรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งฝ่ายบริหาร ไม่ใช่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตนคิดว่าตรงนี้อาจจะทำให้ความสง่างาม ความชอบธรรมของนายพิธา ได้รับผลกระทบบ้าง แต่ถ้ามองในเรื่องหลักการอันแยกส่วนน่าจะไม่มีปัญหาอะไร พร้อมเชื่อว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค.นี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ส่วนการประกาศวางมือทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ วานนี้ (12ก.ค.) จับสัญญาณ อะไรได้บ้าง ผศ.ดร. วันวิชิต มองว่าคงได้เวลาที่เหมาะสม พลเอกประยุทธ์ คงประเมินบทบาทตัวเองแล้วว่า หากยังอยู่ในทางการเมืองต่อไปจะถูกดึงไปอยู่ในวังวนความขัดแย้ง จะถูกดึงไปในฉากทัศน์เรื่องทฤษฎีสมคบคิด เพราะฉะนั้นการประกาศยุติบทบาททางการเมืองทำให้สิ่งที่ประเมินเรื่องรัฐบาลพลิกขั้ว เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยและผลักดันรายชื่อของพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีจะตกไป ต้นคิดว่าอย่างน้อยบรรยากาศความเคลือบแคลงสงสัย ที่มีต่อพลเอกประยุทธ์และ อนาคตทางการเมืองสิ้นสุดไป
เมื่อถามว่า หลายคนมองว่าการที่พลเอกประยุทธ์ วางมือทางการเมือง เพื่อสละให้พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี นั้น ผศ.ดร. วันวิชิต กล่าวว่า หลายคนมองว่าเป็นเช่นนั้นว่า ส.ว. ที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จะเคลื่อนหรือสะสมไปอยู่กับกลุ่มของพลเอกประวิตร ก็เป็นไปได้ แต่ตนมองว่าคงไม่ง่าย เพราะ แรงวิพากษ์วิจารณ์ แรงกดดัน ความชอบธรรมที่จะนำไปสู่การพลิกขั้ว หรือการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไปแข่งกันในอนาคตของพลเอกประวิตร ก็คงไม่ได้รับเสียงขานรับจากสังคมมากนัก ดังนั้นการวางมือทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ เท่ากับว่าเป็นการสิ้นสุดระบบ 3ป. ที่เกือบจะสมบูรณ์ที่สุดแล้ว และเท่ากับว่าจะเป็นการหยุดกระแสสังคม ในช่วงนี้หากศาลจะมีคำวินิจฉัยอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาก็ตาม.-สำนักข่าวไทย