รัฐสภา 4 ก.ค. – “พิธา” มั่นใจ “วันนอร์” ทำหน้าที่ประธานสภาฯ ได้ เชื่อทำให้สภาฯ ก้าวหน้า ไม่ติดใจเป็นร่างทรงพรรคเพื่อไทย แจงเหตุถอยตำแหน่งประธานสภาฯ ส่งสัญญาณภาวะผู้นำ รุกได้ ถอยเป็น ดูบริบทสถานการณ์ ยืนยันเส้นทางสดใส มั่นใจเป็นนายกฯ คนต่อไป ชี้มีเสียง ส.ว. หนุนเพิ่มมากขึ้น
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค กล่าวก่อนการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มั่นใจว่าการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้จะมีความราบรื่น เป็นไปด้วยดี แต่ก่อนเริ่มประชุมจะมีการย้ำ ส.ส. อีกครั้ง เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจกัน เพื่อให้การโหวตเป็นไปด้วยความราบรื่น ทั้งนี้ ยอมรับว่าได้มีการทำความเข้าใจกับนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก ของพรรค ซึ่งจะถูกเสนอชื่อเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง โดยที่ผ่านมาได้มีส่วนร่วมตัดสินใจ และถือว่านายปดิพัทธ์เป็นคนที่มีสปิริตแรง และย้ำว่าหน้าที่ไม่ใช่หน้าตา ทั้งนี้ เชื่อว่าฝ่ายที่ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลจะไม่เสนอชื่อประธานสภาฯ แข่ง
ส่วนกรณีที่พรรครวมไทยสร้างชาติ จะไม่โหวตประธานสภาฯ ที่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 นั้น นายพิธา กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้เห็นเนื้อหาการให้สัมภาษณ์ของนายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่เห็นว่าได้มีการชื่นชมนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ว่ามีประสบการณ์ และมีความเหมาะสม และเชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี ทั้งนี้ ยังเชื่อว่านายวันนอร์จะไม่ถูกมองเป็นหมู่บ้านกระสุนตก ที่มีความใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทย แต่จากหน้าสื่อก็ได้รับการยอมรับที่ดี และส่วนตัวเคยทำงานมาด้วยกัน จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำสภาฯ ให้ก้าวหน้าได้ ส่วนที่ถูกมองเป็นร่างทรงของพรรคเพื่อไทยนั้น คงเป็นแค่เสมือน แต่นายวันนอร์เป็นผู้ใหญ่มีความคิดเป็นของตนเอง และได้พิสูจน์ตนเองมาตั้งปี 2522 ที่ได้ทำงานการเมืองมาหลายพรรค จึงเชื่อว่านายวันนอร์ เป็นตัวของตัวเอง และจะทำให้สภาก้าวหน้า ไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง
นายพิธา ยังกล่าวว่า วันนี้ถือว่าเป็นการรักษาเอกภาพของพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ใหญ่กว่า แสดงให้เห็นถึงความหนักแน่นและความคงเส้นคงวาของพรรคก้าวไกล ที่แสดงให้เห็นว่าหลักการสำคัญกว่าบุคคล ซึ่งนายวันนอร์ก็รับหลักการทุกอย่าง โดยเฉพาะการทำสภาฯ ให้เกิดความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ รวมถึงกฎหมายสำคัญ และยืนยันว่าที่มีแถลงการณ์วานนี้ ที่ได้ระบุถึงการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ได้รับความเห็นชอบ จึงได้ออกมาแถลงให้รับทราบ
นายพิธา ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการรวมเสียง ส.ว. เพื่อสนับสนุนโหวตตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี ว่าขอให้รอดูช่วงระยะเวลาใกล้ๆ แต่ขณะนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว จึงถือเป็นการส่งสัญญาณภาวะผู้นำที่ดี รุกได้ ถอยเป็น เช่นแม้จะเป็นพรรคที่หนึ่ง จะต้องเสนอชื่อประธานสภาฯ แต่ในขณะเดียวกันการรักษาเอกภาพ เพื่อที่จะได้เป้าหมายที่ใหญ่กว่า ก็เป็นสิ่งสำคัญ แสดงให้เห็นอีกว่าผู้นำคนนี้ก็เข้าใจว่าเมื่อเวลารุกก็รุกให้สุด เมื่อเวลาที่ถอย ถ้าไม่เสียหลักการ และก็ได้ในสิ่งที่ไม่เสียหลักการ และเห็นความก้าวหน้าของสภาฯ และประชาชนเป็นที่ตั้ง จึงถือเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างให้ ส.ว. ได้เห็น พร้อมย้ำว่าการรุกได้ถอยเป็น ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ บริบทและบางกรณี แต่คนที่จะเป็นผู้นำต้องตัดสินใจเป็น ประกอบไปด้วยข้อมูล บริบท และสถานการณ์ต่างๆ ดังนั้น บางครั้งหากการจะก้าวกระโดดให้ไกล ก็ต้องถอยนิดหนึ่ง เพราะหากไม่ถอยก็จะกระโดดไม่ไกล ดังนั้น ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่สิ่งสำคัญคือจะต้องไม่ขัดหลักการและสิ่งที่สัญญากับประชาชน
ขณะเดียวมองการแสดงความเห็นของนายวันชัย สอนศิริ ส.ว. ที่จะไม่สนับสนุนก็ถือเป็นความเห็นของนายวันชัยคนเดียว
นายพิธา กล่าวถึงการกำหนดวันเลือกนายกรัฐมนตรีว่า ให้มองไปไกลๆ แต่การปฏิบัติต้องวันต่อวัน ซึ่งถือเป็นวิธีการทำงาน และมั่นใจว่ามีเส้นทางที่สดใสในการเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
ส่วนความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทย จะต้องมีการเคลียร์ใจกันหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกันมาตลอด ยอมรับว่าสถานการณ์การทำงาน มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งจะต้องมีการหารือกันมากขึ้น ยอมรับการทำงานของแต่ละพรรคแตกต่างกัน แต่ต้องทำความเข้าใจและมีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี มีการถอยออกมา และรับฟังฉันทามติ ก็สามารถบริหารจัดการได้ ทำให้เห็นภาวะผู้นำของ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล เป็นสิ่งสูงสุด
นายพิธา ยังย้ำว่า ยังคงเดินหน้าในการแก้ไข มาตรา 112 ว่าก่อนเลือกตั้งดำเนินการอย่างไรหลังเลือกตั้ง ก็จะดำเนินการเหมือนเดิม และผลักดันเข้าสู่สภาฯ.-สำนักข่าวไทย