พรรคประชาธิปัตย์ 1 ก.ค.- “ราเมศ” เคลียร์ชัด พรุ่งนี้ (2 ก.ค.) ปชป. ปฐมนิเทศ ส.ส.ใหม่ พร้อมวิเคราะห์สถานการณ์ ส่วนจะร่วม-ไม่ร่วม รัฐบาล ยึดมติที่ประชุม ส.ส. และ กก.บห.ชุดใหม่
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวถึงความเคลื่อนไหวของพรรคว่าในวันพรุ่งนี้ (2 ก.ค.) เวลา 13.00 น. พรรคได้มีการเรียกประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 25 คน โดยมีวาระสำคัญคือการเลือกผู้จะมาเป็นประธาน ส.ส. รองประธาน ส.ส. และเลขานุการประธาน ส.ส. ของพรรค ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่พรรคได้ดำเนินการมาตลอดระยะเวลาเมื่อมีสภาชุดใหม่ นอกจากนี้พรรค ได้เชิญเจ้าหน้าที่สภา มาให้ข้อมูลแก่ ส.ส. คนใหม่ที่ได้รับการเลือกตั้งในสมัยแรก เพื่อให้ทราบแนวทางปฏิบัติในเรื่องต่างๆ ประกอบในการทำหน้าที่ ส.ส. ในสภา
สำหรับเรื่องที่จะมีการหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในที่ประชุม ส.ส. นั้น นายราเมศ ระบุว่า เป็นเรื่องปกติของการประชุม ส.ส. ประชาธิปัตย์ ที่จะมีการหยิบยกประเด็นทางการเมืองขึ้นมาวิเคราะห์สถานการณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 4 ก.ค. ตนก็มั่นใจว่าจะเป็นเรื่องที่จะได้นำมาพูดคุยกันในที่ประชุม แต่คาดว่าจะไม่มีการพูดคุยลงรายละเอียดถึงตัวบุคคล เพราะถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องตัวบุคคลที่จะเสนอให้ ส.ส. พิจารณาแต่อย่างใด
นอกจากนี้โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้ระบุถึงความแตกต่างของเรื่องที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุม ส.ส. และที่ประชุมร่วม ส.ส. กับกรรมการบริหารพรรคว่า ในการพิจารณาเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์จะใช้มติของที่ประชุมร่วมกันระหว่าง กรรมการบริหารกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่สำหรับการพิจารณาเลือกประธานสภานั้นจะใช้มติในที่ประชุม ส.ส. ซึ่งก็จะมีการแถลงข่าวผลการประชุมให้ทราบทิศทางต่อไป
ส่วนความคืบหน้าเรื่องการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 9 ก.ค. นี้ นายราเมศ กล่าวว่า การประชุมใหญ่ในครั้งนี้ มีวาระสำคัญคือการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ซึ่งจะประกอบด้วยหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค รวมถึงการเลือกคณะกรรมการสรรหาผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคด้วย โดยพรรคได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด ประกอบด้วยคณะกรรมการเตรียมการจัดการประชุมใหญ่วิสามัญ ที่มีนายองอาจ คล้ามไพบูลย์เป็นประธาน และคณะกรรมการพิจารณาวินิจกำกับการประสานการประกาศผลการเลือกตั้ง (กกต.ปชป.) ทั้ง 2 คณะได้มีการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมไปแล้วหลายครั้ง ซึ่งตนเชื่อว่าในวันดังกล่าวจะมีสมาชิกพรรคทั้งที่เป็นองค์ประชุม และไม่ได้เป็นองค์ประชุมมาติดตามให้ความสนใจในการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ที่จะจัดขึ้นที่ รร.มิราเคิลแกรนด์
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีรายชื่อแคนดิเดทหัวหน้าพรรคแล้วกี่คน มีการเสนอชื่อนายเดชอิศม์ ขาวทอง ด้วยหรือไม่นั้น นายราเมศ กล่าวว่า ท่านเดชอิศม์ ยังไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่เชื่อว่าจะมีสมาชิกลงแข่งขันกับท่านอลงกรณ์ ขณะนี้ตนก็ยังไม่ทราบว่าจะมีการเสนอชื่อใครบ้าง ซึ่งการเสนอชื่อนั้นจะต้องเป็นการเสนอโดยสมาชิกพรรค และมีผู้รับรองไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งขององค์ประชุมใหญ่วิสามัญ ก็คือไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน 374 คน โดย กกต. ปชป. จะมีการประชุมในวันจันทร์ที่ 3 ก.ค. นี้ และในวันอังคารที่ 4 ก.ค. คณะกรรมการเตรียมการจัดการประชุมใหญ่วิสามัญ จะเป็นผู้กำหนดว่าจะให้แคนดิเดทหัวหน้าพรรคแสดงวิสัยทัศน์คนละกี่นาที
นายราเมศกล่าวเพิ่มเติมว่า กระบวนการเลือกหัวหน้าพรรคของพรรคประชาธิปัตย์นั้น มีการกำหนดกฎเกณฑ์กติกาชัดเจน ตนเชื่อว่าพรรคมีสมาชิกที่มีคุณสมบัติ มีความรู้ความสามารถเข้าสู่กระบวนการแข่งขัน และยึดหลักข้อบังคับอย่างเคร่งครัด ซึ่งข้อบังคับข้อที่ 31 ระบุชัดว่าสมาชิกที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการเลือกตั้งเป็น กก.บห. ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่สมาชิกที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) เป็นหรือเคยเป็นกรรมการบริหารพรรค เช่นผมเคยเป็นโฆษกพรรค เป็น กก.บห. ก็สามารถสมัครเป็น กก.บห. ชุดใหม่ได้ (2) เป็นหรือเคยเป็น คกก.สาขาพรรค กรณีนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกมาครบ 5 ปี ก็สามารถใช้ข้อนี้สมัคร กก.บห.ได้ (3) เป็นหรือเคยเป็น ส.ส. ในนามพรรค (4) เป็นหรือเคยเป็น รมต. ในนามพรรค (5) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ที่ลงเลือกตั้งในนามพรรค (6) สมาชิกที่ที่ประชุมใหญ่มีมติด้วยคะแนนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของที่ประชุมใหญ่ ให้ลงสมัคร กก.บห. ได้ ข้อนี้เมื่อคำนวนจากองค์ประชุม 374 คน ก็จะต้องมีมติไม่น้อยกว่า 282 คน
ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะลงสมัครหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น จะมีรายละเอียดแตกต่างจาก กก.บห. พรรค กล่าวคือ จะต้องเป็นหรือเคยเป็น ส.ส. ในนามพรรค เว้นแต่ได้รับการยกเว้นตามข้อบังคับพรรคข้อที่ 31 (6) คือการใช้เสียง 3 ใน 4 ของที่ประชุมใหญ่ ส่วนการเสนอชื่อนั้นจะต้องมีผู้รับรองไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งขององค์ประชุมใหญ่วิสามัญ ก็คือไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน 374 คน .-สำนักข่าวไทย