โรงแรมรามาการ์เด้น 1 ก.ค.- “พิธา” ตอบรับคำเชิญ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ เป็น “แบรนด์แอมบาสเดอร์ท่องเที่ยวไทย” บอก หลังเข้าทำเนียบฯ เตรียมประชุม UN ชูวาระเที่ยวไทยกับผู้นำฯ ทั่วโลก
นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ภายหลังการหารือ ร่วมกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล และคณะ ว่า เป็นอีกวันที่ตัวแทนสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่ง เดินทางมาจากทั่วประเทศ มากกว่า 50 คน ส่วนใหญ่เป็นนายกฯ และประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัด โดยข้อเสนอหลักมีสองเรื่อง 1. มองว่าการท่องเที่ยวควรเป็นวาระแห่งชาติ เพราะประกอบด้วยทุกกระทรวง ทบวง กรม ที่จะแก้ปัญหาและสร้างโอกาส จึงอยากให้ว่าที่นายกรัฐมนตรี นั่งเป็นประธานเพื่อกำกับดูแลเรื่องนี้โดยตรง พร้อมเชื่อว่าเรื่อง demand-side ไม่ค่อยมีปัญหา แต่ถ้ามีการเจาะลึกเราควรจะเลือกว่าประเทศไหน อย่างไร จึงจะเหมาะสมกับประเทศไทย ส่วน supply side จะต้องมีการสร้างโอกาสที่ดี จากสนามบินไปยังจุดต่างๆ ต้องจัดการให้ไร้คอขวด นั่นหมายถึงการจัดการกับกฎหมายบางอย่างที่มีมานานแล้ว หรือประเภทโรงแรมที่พัก โดยจะรวบรวมปัญหาต่างๆ เพื่อนำเสนอว่าที่นายก พิธา เป็นสมุดปกขาว รวมถึงอยากให้นายพิธา มาเป็นแบรนด์เอมบาสเดอร์ท่องเที่ยวไทย
ด้านนายพิธา กล่าวว่า ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นสอดคล้องกัน ซึ่งได้มีการพูดคุยกันสถานการณ์การท่องเที่ยวก่อนและหลังโควิด โดยเปรียบเทียบตัวเลขระหว่างปี 2019 กับ 2023 ทั้งเรื่องของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทย และการบริหารจัดการในระดับจังหวัด ซึ่งประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ อยากให้นายกฯ ได้ดูแลเรื่องการท่องเที่ยวโดยตรง เพราะไม่ว่านโยบายท่องเที่ยวจะดีแค่ไหน แต่ถ้ามีปัญหาสิ่งแวดล้อม มีปัญหาโรคระบาด มีปัญหาเรื่องสังคมสูงวัย และปัญหาส่วย อาจทำให้นโยบายท่องเที่ยวไม่สามารถปฏิบัติได้จริง
พร้อมตอบรับคำเชิญ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์การท่องเที่ยวด้วยความยินดี อาจจะเป็นทั้งคนที่บริหารและสื่อสารด้วย และเมื่อเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อไหร่ มีการบริหารเมื่อไหร่ คงจะมีการเดินทางไปต่างประเทศ พบปะผู้นำต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายนนี้ ที่จะมีการประชุมสหประชาชาติ คงจะใช้โอกาสนี้เอาเรื่องการท่องเที่ยว และเชิญชวนนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ มาเที่ยวในประเทศไทย ทำให้เป็นวาระสำคัญในการประชุมกับผู้นำในต่างประเทศ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นคงจะพูดนโยบาย ของพรรคร่วม 8 พรรค ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และไม่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น การแก้ใบอนุญาต ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายที่ล่าช้าล้าหลัง
นายพิธา ยังพูดถึงตัวเลขการท่องเที่ยวว่า เป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องมีการพูดคุยกันเยอะ เพราะหากเปรียบเทียบตัวเลขการท่องเที่ยวก่อนและหลังโควิด-19 พบว่าหายไป 40% แต่ก็ถือว่าเราไม่ได้แย่ไปกว่าทั่วโลก เพียงแต่นักท่องเที่ยวจีน กลับมาท่องเที่ยวเพียง 2% จาก 20% แต่ก็มีการพูดคุยกันว่าถ้าจะทำให้ยั่งยืนหากคงจะไม่ใช่เพียงแค่จำนวนอย่างเดียวแต่ต้องดูเรื่องคุณภาพด้วย เพราะมองว่า 75% ของนักท่องเที่ยวที่เข้ามา ยังกระจุกอยู่ 5 จังหวัดแทนที่จะกระจายออก และเห็นตรงกันว่า นโยบายเมืองรองที่ผ่านมา อาจจะไม่เพียงพอ คงต้องมีการแก้ไขกฎหมาย โฮมสเตย์ เรื่องการคมนาคมระหว่างจังหวัด ใจเพื่อจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยว พร้อมยกตัวอย่างการเดินทางจากจังหวัดเชียงใหม่เพื่อไปจังหวัดแม่ฮ่องสอน ใช้เวลาเดินทางนาน อาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเลือกเที่ยวอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่มากกว่าไปที่แม่ฮ่องสอนด้วย .-สำนักข่าวไทย