กรุงเทพฯ 29 มิ.ย. – “อ.ยุทธพร” มองปรับสูตรข้อแลกเปลี่ยนยุติปัญหาเก้าอี้ประธานสภาฯ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายที่ต้องการ แนะเพื่อไทยประกาศให้ชัดจะเดินทางไหน
นายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยจะปรับสูตรเพื่อยุติปัญหาตำแหน่งประธานสภาฯ โดยฝั่งพรรคเสียงเป็นอันดับ 2 จะเสนอสูตรใหม่ 13 รัฐมนตรี บวก 1 ประธานสภาฯ และให้โควตากับพรรคก้าวไกล 15 รัฐมนตรี และ 1 นายกรัฐมนตรี ว่าการต่อรองเป็นเรื่องปกติในระบบรัฐสภา ซึ่งต้องดูว่าการหารือกันของ 8 พรรค ในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนสูตรต่างๆ หรือไม่ อย่างไรก็ตาม การปรับสูตรไม่ง่าย เพราะแต่ละพรรคมีเป้าหมายทางการเมืองของตัวเองที่ชัดเจนเหมือนกัน
“เป้าหมายของพรรคก้าวไกลคือ ต้องการตำแหน่งประธานสภาฯ และตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังนั้น กระบวนการปรับเปลี่ยนสูตรคงจะไม่ใช่จุดยืนที่พรรคต้องการ ส่วนพรรคเพื่อไทยต้องการเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล เพราะฉะนั้นเรื่องการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ยังไม่ใช่ประเด็นใหญ่ แต่ประเด็นใหญ่ของพรรคเพื่อไทยคือการขึ้นมาเป็นแกนหลักตั้งรัฐบาล ซึ่งมองว่าพรรคเพื่อไทยคงไม่ยอมง่ายๆ กับสมการการเมืองในการปรับเปลี่ยนเรื่องสูตรแบ่งโควตารัฐมนตรี” นายยุทธพร กล่าว
เมื่อถามว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ เพราะต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายที่ต้องการ นายยุทธพร กล่าวว่า การตกลงพูดคุยกว่าจะลงตัวคงไม่ง่าย เพราะต่างฝ่ายต่างมีจุดยืนผลประโยชน์ทางการเมืองแตกต่างกัน สุดท้ายมีแนวโน้มสูงที่จะนำไปสู่การฟรีโหวต แม้ว่าพรรคจะมีมติออกมาอย่างไรก็ตาม
“อีกประการหนึ่งที่เราไม่ค่อยได้จับตาคือ การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจเดิม เพราะเรามุ่งไปที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย แต่ในส่วนขั้วอำนาจเดิมไม่เห็นความเคลื่อนไหว ซึ่งในภาวะการเมืองที่ไม่ปกติแต่ไม่มีความเคลื่อนไหว นิ่งเงียบผิดปกติ สะท้อนภาพได้ว่าต้องมีการเมืองอะไรซ่อนอยู่ และมีความเป็นไปได้ที่ขั้วอำนาจเดิมจะเสนอชื่อคนที่อยู่ใน 8 พรรคร่วมรัฐบาลก้าวไกล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย จึงทำให้พรรคเพื่อไทยเสียงแตก และจะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลด้วย” นายยุทธพร กล่าว
ส่วนสูตรพลิกขั้วจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาหรือไม่ รวมถึงกระแสข่าวที่จะมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาอยู่ในสมการ นายยุทธพร กล่าว มีความเป็นไปได้ และสามารถมีแนวทางออกมาได้ 4 ฉากทัศน์ คือ 1.พรรคเพื่อไทยสนับสนุนพรรคก้าวไกล ทั้งตำแหน่งประธานสภาฯ และตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ฉากทัศน์นี้ไม่ใช่ว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีผลกระทบ เพราะจะเสียเก้าอี้ให้กับพรรคก้าวไกลทั้งหมด รวมถึงจะส่งผลต่อผลงานการจะฟื้นฟูความนิยมของพรรคต่อไปในอนาคต 2.พรรคเพื่อไทยขยับขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเองใน 8 พรรคขั้วเดิม ซึ่งก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน 3.การข้ามขั้วไปสนับสนุน พล.อ.ประวิตร หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งแนวทางนี้ได้รับผลกระทบมากแน่นอน อีกทั้งยังเป็นทิศทางที่จะส่งผลต่อคะแนนนิยม ความเชื่อถือเชื่อมั่นของพรรคเพื่อไทยในระยะยาว 4.ข้ามขั้ว แต่นายกรัฐมนตรีมาจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่น้อยกว่าฉากทัศน์ที่ 3
“ทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะออกมาในฉากทัศน์ใด พรรคเพื่อไทยได้รับผลกระทบทั้งหมด สิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องเดินหลังจากนี้คือความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสนอแคนดิเดตประธานสภาฯ หรือสนับสนุนแคนดิเดตของพรรคก้าวไกลก็ทำไปเลย พรรคเพื่อไทยต้องมีจุดยืนให้ชัดว่าจะเดินไปในทิศทางไหน จะเดินเองก็ได้แต่ต้องชัด เพราะเรื่องทิศทางส่งผลต่อพรรคมาก และผลกระทบมีได้ทุกรูปแบบ” นายยุทธพร กล่าว.-สำนักข่าวไทย