พรรคประชาชาติ 26 มิ.ย.-“ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม” เตรียมข้อเสนอด้านความปลอดภัย-ชีวิต-ทรัพย์สิน ต่อคณะทำงานย่อยสันติภาพชายแดนใต้ หวังเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น มองการแจ้งข้อหาต่อ “ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ” ฉวยโอกาสช่วงสุญญากาศ เชื่อสุดท้ายถอนฟ้อง
นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนการประชุมคณะทำงานย่อยของ 8 พรรคร่วมในเรื่องสันติภาพชายแดนใต้ ที่ทำการพรรคประชาชาติ ว่า ขอบคุณพรรคประชาชาติเป็นการเฉพาะที่รับร่าง พ.ร.บ.อุ้มหายเข้าสู่สภาเป็นพรรคแรก เมื่อ 2 ปีที่แล้ว กว่าจะผ่านกระบวนการต่างๆ ทั้ง ส.ส. ส.ว. จนประกาศราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ก็ใช้เวลานาน ซึ่งประชาชน ส.ส.ในพื้นที่ 3 จังหวัดสำคัญมาก เพราะเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลให้ พ.ร.บ.นี้เกิดขึ้นจริง ตอนนี้กฎหมายบังคับใช้ทั่วประเทศ มีการติดกล้องบันทึกการจับกุม การส่งตัวต่อพนักงานสอบสวน เพื่อสิทธิของประชาชนทุกคนที่ถูกจับทั่วประเทศ เป็นประโยชน์จากทุกคน
นางสาวพรเพ็ญ ยังกล่าวว่า วันนี้ตนเองมาเป็นผู้สังเกตการณ์ในการประชุมเรื่องสันติภาพชายแดนใต้ มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการใช้กฎหมายพิเศษ หรือข้อเสนอจากภาคประชาชน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ในการเตรียมการการรองรับข้อสเนอต่อรัฐบาลใหม่ เราก็หวังว่าเสียงนี้จะไปถึงรัฐบาลใหม่ จะ 100 วันแรก หรือ 1 ปี ก็อยากให้ไม่เหมือนเดิม ให้ประชาชนมีเสียง รวมถึงข้อเสนอที่เกี่ยวกับชีวิต ทรัพย์สิน ความปลอดภัย วัฒนธรรม สิทธิในการแสดงออกของพวกเขาให้เปลี่ยนแปลงไป
“วันนี้มีเหตุเรื่องวาระการประชุมเฉพาะเรื่องสังคม วัฒนธรรม ในมุมนักสิทธิมนุษยชน ในเรื่องการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการจำกัดสิทธิทางวัฒนธรรม การแต่งกายชุดมลายู การพูดภาษามลายู การเมืองวัฒนธรรมเป็นเสรีภาพที่ควรทำได้ และเป็นส่วนสำคัญในการเขียนนโยบาย เพราะหลายครั้งบ้านเมืองเอากฎหมายมาเป็นกรอบในการแสดงออก ซึ่งบางกฎหมายอาจละเมิดสิทธิมนุษยชนในบางเรื่อง” นางสาวพรเพ็ญ กล่าว
ส่วนกรณีการแจ้งความกลุ่มขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ นักกิจกรรมทางการเมือง และนักการเมืองนั้น นางสาวพรเพ็ญ ระบุว่า การพูดคุยเรื่องรูปแบบการเมืองการปกครองมีได้ในทุกมิติ ทุกที่ ซึ่งเป็นสิทธิโดยสมบูรณ์ในการแสดงออกทางความคิดเห็น บางประเทศเอาเรื่องนี้มาออกแบบเป็นกฎหมายอาญา ก็ต้องแก้ไข ถ้าหมิ่นประมาทผู้ใดผู้หนึ่ง หรือขัดต่อกฎหมายใด ต้องมาคุยกัน หากผิดทางแพ่งก็ฟ้องทางแพ่ง แต่การตั้งหลักดำเนินคดีอาญากับผู้ที่แสดงความเห็นนั้นไม่ได้
นางสาวพรเพ็ญ ระบุว่า การแสดงออกมีหลายรูปแบบ เราเคยแสดงออกในการรณรงค์เรื่องการป้องกันการทรมานอุ้มหาย ก็เคยคดีจากทาง กอ.รมน. ซึ่งสุดท้ายเขาก็ถอนแจ้งความ ครั้งนี้จึงมองว่าสุดท้ายคดีนี้ก็คงถอนฟ้อง แต่การตั้งหลักฟ้องในขณะที่รอรัฐบาลใหม่ เป็นการฉวยโอกาสที่ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบในการใช้สิทธิเสรีภาพ
ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงการแจ้งข้อหากบฏ หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 กับกลุ่มนักศึกษานั้น ส่งผลอย่างไร นางสาวพรเพ็ญ ระบุว่า การตั้งข้อหาลักษณะนี้มีมา 18 ปีแล้ว ในคดีความมั่นคงกว่าพันคดี ทนายต้องต่อสู้ว่าไม่ใช่ข้อหากบฏ โดยคดีนี้น่าสนใจ เพราะไม่มีข้อหาเรื่องความรุนแรง แต่เป็นเรื่องของความคิดเห็นทั้งหมด มีหลายขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมที่ต้องฝ่าไปให้ได้ ทั้งตำรวจ ศาล กอ.รมน. จะเลือกไม่สั่งฟ้องก็ได้
“เราอยู่ในประเทศที่ล้าหลัง ที่ต้องการประชาธิปไตยในการก้าวข้ามความขัดแย้งที่เกิดขึ้น การเอาคดีแบบนี้มาให้นักกิจกรรมคงเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อทำให้กลัว แต่ในยุคนี้คงยากแล้ว รวมถึงการใช้ความรุนแรงก็ไม่ใช่ทางออก เหมือนกับการฟ้องคดีมาตรา 112 ที่ฟ้องไปก่อน ทำให้เราไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพในการออกแบบการแก้ไขปัญหาได้” นางสาวพรเพ็ญ กล่าว
นางสาวพรเพ็ญ ยังระบุอีกว่า ตนเองมีความกังวล เป็นห่วงเพราะความรุนแรงทางกายภาพในพื้นที่ยังมี คู่ขัดแย้งค่อนข้างชัดเจน เลยให้คนที่เชื่อมั่นกระบวนการในสภา ที่ไปออกเสียงเลือกตั้งมาแล้ว อยากให้ทางทหาร กอ.รมน. หน่วยงานความมั่นคง เชื่อในกระบวนการทางการเมืองรัฐสภา อย่าไปแจ้งความในข้อหากบฏ เพราะระหว่างที่เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน .- สำนักข่าวไทย