กรุงเทพฯ 17 มิ.ย.- “นพดล” ตั้งคำถามว่า “ดอน” อยู่มาตั้งนานทำไมไม่ผลักดันประเด็นเมียนมา ชี้ โดยมารยาทควรรอรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งแก้ปัญหา
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการที่มีข่าวว่านายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย ทำหนังสือเชิญประเทศในอาเซียนมาประชุมอย่างไม่เป็นทางการเรื่องเมียนมาที่ไทย แต่อินโดนีเซียซึ่งเป็นประธานอาเซียนไม่ตอบรับมาร่วมประชุมอ้างว่าอาเซียนกำลังดำเนินการอยู่นั้น เรื่องนี้ตนแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าประเด็นเมียนมาพึ่งมีการหารือในการประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อเดือนที่ผ่านมาไม่ใช่หรือ นอกจากนั้น ไทยพึ่งมีการเลือกตั้ง และประชาชนเลือกพรรคฝ่ายค้านเดิมท่วมท้น รัฐบาลเดิมที่เป็นรัฐบาลรักษาการ ควรรอให้รัฐบาลใหม่เข้ามาดำเนินการแก้ประเด็นเรื่องเมียนมา ซึ่งรัฐบาลใหม่น่าจะมีท่าทีที่แตกต่างจากรัฐบาลนี้ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาผู้อพยพ ปัญหาสิทธิมนุษยชน ปัญหาชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดน ปัญหากระบวนการประชาธิปไตยในเมียนมา เป็นต้น ที่ผ่านมาการดำเนินงานด้านต่างประเทศของรัฐบาลนี้ถูกวิจารณ์ค่อนข้างมากว่าอ่อนแอ ไม่มีประสิทธิภาพและไม่ประสบความสำเร็จในการผลักดันการแก้ปัญหาเรื่องเมียนมา ถ้าอยู่มาแปดปีแก้ไม่ได้ ตอนนี้เป็นรัฐบาลรักษาการคงไม่มีอำนาจต่อรองมากพอที่จะขับเคลื่อนการแก้ปัญหาได้ อีกทั้งตามข่าวอินโดนีเซียซึ่งเป็นประธานอาเซียนไม่มาร่วมประชุมด้วย โอกาสสำเร็จคงน้อย
นายนพดล ยังกล่าวว่า รัฐบาลใหม่ที่พรรคเพื่อไทยร่วมอยู่ด้วยมีความชอบธรรมที่มาจากการเลือกตั้ง และตัวผู้นำใหม่ จะสามารถกอบกู้เกียรติภูมิของไทยและสร้างโอกาสไทยในเวทีโลก เปิดตลาดใหม่ๆให้สินค้าไทย และจะให้ความสำคัญประเด็นเมียนมาในลำดับต้นๆของงานด้านต่างประเทศ ไทยและอาเซียนมีผลประโยชน์ร่วมกันในเมียนมาและการดำเนินการในกรอบอาเซียนจะมีพลังมากกว่าการดำเนินการของประเทศหนึ่งประเทศใด เราต้องผลักดันฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนต่อไป การเรียกร้องให้หยุดใช้ความรุนแรงในเมียนมา การเจรจาสันติภาพระหว่างฝ่ายต่างๆ และการเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมควรต้องเกิดขึ้น เพราะสันติภาพและประชาธิปไตยในเมียนมานั้นสำคัญต่อการแก้ปัญาต่างๆที่กระทบต่อประเทศไทยและอาเซียน
“ปัญหาเมียนมายืดเยื้อมานาน ยากที่รัฐบาลรักษาการจะแก้ได้ เชื่อมั่นว่ารัฐบาลใหม่ นโยบายใหม่ ผู้นำใหม่ จะทำให้สถานะประเทศไทยดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาเมียนมาประสบความสำเร็จได้” .-สำนักข่าวไทย