กทม. 11 มิ.ย.- “ชวลิต” เผย งานวิจัยสถาบันพระปกเกล้า ชี้ คน 3 จชต. เห็นด้วยน้อยที่สุด เมื่อมีรูปแบบการปกครองที่เป็นอิสระจากประเทศไทย ขณะที่ พรรคไทยสร้างไทย เตรียม นำงานวิจัยฯ และรายงาน กมธ.กฎหมายฯ มาปรับใช้เป็นแนวทางแก้ไขปัญหา 3 จชต.
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ กรรมการยุทธศาสตร์ พรรคไทยสร้างไทย คณะทำงานย่อยแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ ให้ความเห็นกรณีมีความพยายามจะดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องในการจัดสัมมนาทางวิชาการที่ มอ.ปัตตานี หลังมีการเสนอทำประชามติเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกดินแดน นั้น
ตนเห็นว่า การแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทุกภาคส่วนควรอดทน ละเอียด รอบคอบต่อการแก้ไขปัญหา ระวังอย่าเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวส่งผลให้ปัญหาบานปลายเหมือนเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต ในฐานะที่เคยทำงานในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ในสมัยที่ผ่านมา ตนมีข้อสังเกตต่อแนวทางแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ จำนวน 2 ประการ ดังนี้
1.สถาบันพระปกเกล้า โดย พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส ผอ.สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เคยทำงานวิจัยแนวทางแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยใช้ชื่องานวิจัยนั้นว่า PEACE SURVEY ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ถึง 5 ครั้ง โดยในครั้งที่ 5 สำรวจความเห็นระหว่างเดือนกันยายน – ตุลาคม 2562
โดยถามความเห็นประชาชนถึง “รูปแบบการปกครองที่ต้องการ” พบว่า รูปแบบการปกครองที่เป็นอิสระจากประเทศไทย เป็นรูปแบบที่ประชาชนต้องการ “น้อยที่สุด” ส่วนรูปแบบการปกครองที่ประชาชนต้องการมากที่สุด คือ รูปแบบการปกครองที่มีการกระจายอำนาจมากขึ้นด้วยโครงสร้างการปกครองที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่ภายใต้กฎหมายของประเทศไทย (เอกสารงานวิจัย หน้าที่ 68)
ข้อสังเกตในประเด็นนี้ก็ คือ ความคิดเห็นของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ในการเป็นอิสระจากประเทศไทยนั้นมี แต่น้อย มีข้อสังเกตว่า ถ้าไม่ปรับนโยบายและยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา ปล่อยให้ปัญหาความไม่สงบ ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความยากจน และความอยุติธรรม เป็นปัญหาที่จมลึกอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ไปมากกว่านี้ ก็จะกระทบและสร้างความเสียหายต่อการพัฒนาประเทศโดยภาพรวมมากขึ้น ๆ
2.คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ทำการศึกษา เรื่อง แนวทางสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ เพื่อการพัฒนาสร้างสันติสุขและประชาธิปไตย ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรายงานของคณะกรรมาธิการดังกล่าวมีตัวแทนจากทุกพรรคการเมืองร่วมเป็นคณะกรรมาธิการได้ให้ความเห็นชอบกับรายงานพร้อมทั้งเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรและบรรจุอยู่ในระเบียบวาระการประชุมแล้ว แต่การพิจารณาไม่ถึง ระเบียบวาระ หมดสมัยประชุมไปก่อน
บทสรุปของคณะกรรมาธิการ ฯต่อการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ คือ ปรับนโยบายและยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหา โดยใช้นโยบายเศรษฐกิจ การเมือง นำการทหาร และน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาปรับใช้อย่างจริงจัง
ประการสำคัญ เวลาของความขัดแย้ง ความไม่สงบ ได้ยืดเยื้อยาวนานเกือบ 20 ปีติดต่อกัน สร้างความเสียหายต่อชีวิต จิตใจ ทรัพย์สิน ทั้งของประชาชนและทางราชการมากมาย ถึงเวลาที่จะให้ “อภัย” ต่อกัน โดยหลักศาสนาทั้งพุทธและมุสลิม โดยนำคำสั่งสำนักนายกรัฐมนครี ที่ 66/2523 มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ (ขอเอกสารรายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการ ฯ ได้จากสภา ฯ)
ในส่วนข้อเสนอจากพรรคไทยสร้างไทย นั้น พรรคได้นำงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าและรายงานของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฏร มาปรับใช้ มีไทม์ไลน์ ในการแก้ไขปัญหา 3 จชต. แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน ระยะปานกลาง และระยะยาว
โดยระยะยาวซึ่งเป็นระยะสุดท้าย เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เมื่อบริหารจัดการ 2 ขั้นตอนแรกเรียบร้อย จึงถึงขั้นตอนการกระจายอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประการสำคัญ ผู้บริหารพรรคโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ หัวหน้าพรรค และ ดร.โภคิน พลกุล ประธานกรรมการยุทธศาสตร์พรรค นอกจากเห็นด้วยกับแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้ง 3 ขั้นตอนดังกล่าว ซึ่งนำงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า และรายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร มาปรับใช้แล้ว ยังแนะนำให้เพิ่มมิติด้านการต่างประเทศโดยให้ความสำคัญกับการประสานกับมิตรประเทศที่จะร่วมกันสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในภูมิภาค ซึ่งผมได้แจ้งต่อที่ประชุมคณะทำงานย่อย ฯ ในการประชุมครั้งแรกที่พรรคก้าวไกล เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาแล้ว และจะติดตามในการประชุมครั้งที่สอง ในวันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2566 ณ พรรคประชาชาติต่อไป .-สำนักข่าวไทย