กรุงเทพฯ 11 มิ.ย.- นักวิชาการชี้ กกต.ยก 4 คำร้องยุบพรรคก้าวไกล เป็นไปตามกฎหมายและเป็นธรรม ไม่ถูกมองว่ากลั่นแกล้ง ถือเป็นข่าวดีจะได้เดินหน้าตั้งรัฐบาล ชี้ยังมีปัจจัยอื่นโดยเฉพาะ ม.151 กรณีรู้ว่าขาดคุณสมบัติแต่ยังฝืนสมัคร ยัง 50:50
รองศาสตราจารย์ เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย อดีตที่ปรึกษาคณะ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกรณีที่กกต.ยก 4 คำร้องยุบพรรคก้าวไกล ว่า ถือเป็นสัญญาณดีสำหรับพรรคก้าวไกลที่กำลังจะตั้งรัฐบาล เพราะหากทุกเรื่องที่ร้องพรรคก้าวไกล แล้ว กกต.รับไว้หมด ไม่ว่ามีประเด็นหรือไม่ ก็จะถูกมองว่าเป็นการกลั่นแกล้ง หรืออยากจะล้มพรรคก้าวไกล ซึ่งถือว่าไม่ดี ดังนั้นการปลดสิ่งที่รก คือเรื่องที่ร้องแล้วไม่มีมูล ไม่มีประเด็น กกต. ก็ต้องไม่รับ เพื่อความเป็นธรรม อย่างไรก็ตามการที่ยกคำร้องดังกล่าวก็ไม่ได้แปลว่าจะสามารถตั้งรัฐบาลได้อย่างที่ต้องการไปเลยเพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง
สำหรับกรณีที่ กกต.ไม่รับคำร้อง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกลถือหุ้น ITV แต่รับเรื่องไว้พิจารณาตามมาตรา 151 เหตุรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังฝืนนั้น อดีตที่ปรึกษา กรธ. กล่าวว่า ประเด็นนี้มีทั้งบวกและลบ เพราะในกรณีที่บอกว่า ขาดคุณสมบัติเลย อันนั้นไม่เอาเจตนา ไม่เอาเรื่องความประมาท หากถือหุ้นสื่อจริง ก็จะขาดคุณสมบัติเลย แต่ถ้ายึดตามมาตรา 151 จากระบุว่าผู้ใดรู้อยู่แล้ว ว่าตัวเองขาดคุณสมบัติแล้วยังไปสมัครรับเลือกตั้งนั้น แม้ว่าจะโทษแรง แต่ภาวะการพิสูจน์มีมากกว่า ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่า เพราะสุดท้ายต้องส่งไปศาลอาญา และเป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายสามารถที่จะนำหลักฐานมาพิสูจน์
ส่วนหากดูจากเอกสารหลักฐานที่ปรากฏตามสื่อแล้วจะทำให้นายพิธารอดพ้นจากการขาดคุณสมบัติหรือไม่นั้น รองศาสตราจารย์ เจษฎ์ กล่าวว่าเท่าที่ดูโอกาสมี 50 ต่อ 50 เพราะ มีปรากฏตามสื่อยังไม่สามารถยืนยันเรื่องอะไรได้เลยว่าตกลงนายพิธาถือหุ้นในฐานะอะไร ในฐานะผู้จัดการมรดกหรือไม่ ในฐานะถือให้กับทายาทหรือถือให้กับตัวเองด้วย และการโอนหุ้น ที่บอกว่าโอนนั้นโอนอย่างเดียว หรือสละมรดก และท้ายสุดหากต้นทางยังถืออยู่ ปลายทางหมายถึง ITV สรุปแล้วยังเป็นสื่อหรือไม่ ยังประกอบการอยู่หรือไม่ ดังนั้นจึงยังสรุปอะไรไม่ได้ เพราะข้อมูลปฐมภูมิยังไม่ชัดเจน และขณะนี้ยังไม่ทราบว่า คำสั่งศาลให้นายพิธา จัดการมรดกในระดับไหน ระยะเวลาเท่าไหร่.-สำนักข่าวไทย