กรุงเทพฯ 10 มิ.ย. – “ทนายเดชา” มั่นใจ “พิธา” รอดคดีถือหุ้นสื่อ 100% ชี้ชัดเทียบเคียงคดี “ธนาธร” เมื่อปี 63 มีคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อัยการสูงสุดยังสั่งไม่ฟ้อง
นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายคลายทุกข์ วิเคราะห์ถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จะรอดจากคดีถือหุ้นสื่อไอทีวีหรือไม่ว่า ส่วนตัวมั่นใจว่านายพิธารอดพ้นจากคดีนี้อย่างแน่นอน 100% เพราะปัจจุบันไอทีวีไม่ใช่สื่อแล้ว มีการยกเลิกสัญญาไปตั้งแต่ปี 2550 อีกทั้งเมื่อเทียบกับคดีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อปี 2563 ในมาตรา 151 ตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส. อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง เพราะไม่มีพฤติการณ์และพยานหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาตั้งแต่แรก รู้อยู่แล้วว่ามีหุ้นสื่อ ขาดคุณสมบัติ และมาสมัคร ส.ส. ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นที่ชัดเจนมาก เพราะการที่จะต้องรับผิดทางอาญาต่อเมื่อกระทำโดยเจตนา ต้องมีพยานหลักฐานและพฤติการณ์ยืนยันได้อย่างชัดเจน โดยปราศจากข้อสงสัย จึงจะสามารถดำเนินคดีได้
นายเดชา ยังเน้นย้ำอีกว่า ขนาดคดีของนายธนาธร มีคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพิกถอนสิทธิขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. อัยการสูงสุดยังสั่งไม่ฟ้อง ส่วนกรณีของนายพิธา ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเลย คดีนี้ตนมองว่าเร่งรัดเกินไป ยังไม่มีการรับรอง ส.ส. ยังไม่มีการร้องศาลรัฐธรรมนูญ และยังไม่มีคำวินิจฉัยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่จะมาเร่งรีบดำเนินคดีอาญา ในขณะที่ผู้สมัคร ส.ส. มีเรื่องร้องเรียนตั้งหลายร้อยเรื่อง ทำไมต้องมาเร่งรัดกับนายพิธาเพียงคนเดียว
ส่วนเรื่องการตีความว่าไอทีวียังเป็นสื่ออยู่หรือไม่ เป็นหน้าที่ของศาลฎีกาและศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ในมุมของตนมองว่ากรณีดังกล่าวก็ต้องดูตามความเป็นจริง ไม่ใช่ดูตามตัวบทกฎหมาย หรือดูตามข้อมูลที่จดทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น ต้องดูความเป็นจริงด้วยว่าไอทีวียังสามารถแพร่ภาพออกอากาศได้หรือไม่ ทำธุรกิจสื่อได้หรือไม่ ไม่ใช่ดูตามลายลักษณ์อักษรที่จดทะเบียนไว้เพียงอย่างเดียว ควรยึดหลักตามความเป็นจริง เพราะเราอยู่ในโลกของความเป็นจริง ตนจึงมั่นใจว่าสถานะของไอทีวีไม่ใช่สื่อ
ทั้งนี้ ควรใช้หลักการที่สมเหตุสมผล ไม่ใช่ว่าไอทีวีโดนยกเลิกสัญญาจาก สปน. ไปแล้ว แต่ยังมาตีความว่าเป็นสื่ออยู่ ถ้าเกิดการพิพากษาคดีที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมก็จะเกิดขึ้น เพราะศาลฎีกาก็เคยตีความไปแล้ว ขณะเดียวกันจำนวนหุ้นที่นายพิธาถือก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดจะไปครอบงำสื่อให้เสนอข่าวตามความต้องการของนักการเมืองได้ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในเมื่อถือหุ้นแค่ 40,000 กว่าหุ้น จากที่มีทั้งหมดเป็นร้อยล้านพันล้านหุ้น ก็ไม่ได้สัดส่วนที่จะไปครอบงำกิจการได้อยู่แล้ว ตนจึงมั่นใจว่านายพิธารอดจากคดีนี้อย่างแน่นอน ยกเว้นนอกจากมีอภินิหารทางกฎหมายจากผู้มีอำนาจเกิดขึ้น
“ผู้สมัครที่ถูกร้องเรียนจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมามีหลายร้อยเรื่องทำไมต้องมาเร่งรัดนายพิธารายเดียว และทำไมต้องเร่งรีบดำเนินคดีอาญา ทั้งที่ต้องรับรอง ส.ส. ก่อน หลังจากนั้นต้องไปร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญ และรอการสืบพยานและก็วินิจฉัย มีคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้วถึงจะมาดำเนินคดีอาญา แต่คดีนี้ทำไมเร่งรีบจะดำเนินคดีอาญาทั้งที่ยังไม่มีการส่งศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่มีคำวินิจฉัยเลย อันนี้ก็เป็นคำถามที่สังคมเขาถามว่าจะรีบไปเพื่ออะไร มีความสุจริตเที่ยงธรรมไหม นี่คือคำถามที่ถามไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง” .-สำนักข่าวไทย