“ธนกร” ลั่นไม่โหวตให้ “พิธา” เป็นนายกฯ

ทำเนียบฯ 16 พ.ค.- “ธนกร” ลั่นไม่ยกมือให้ “พิธา” เป็นนายกฯ ชี้ “เพื่อไทย” ยังมีโอกาสเป็นแกนนำ พร้อมเตือนแคนดิเดตนายกฯ ควรมีวุฒิภาวะ อย่าพูดเหน็บแนมผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ส.ว.ก็มีหัวใจ


นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (15 พ.ค.66) ตนได้ขึ้นไปพบและให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งก็อารมณ์ดี ไม่มีความเครียดอะไร และต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นไปตามกลไก ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น

ส่วนความชัดเจนอนาคตทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น นายธนกร ย้ำว่า เมื่อสุดท้ายแล้วมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็คงจะวางมือและพักผ่อน เพราะทำงานให้ประเทศมายาวนาน ตั้งแต่รับราชการทหาร และในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้สร้างคุณประโยชน์ ความดีให้กับประเทศมากมาย ซึ่งตนก็เชื่อว่าประชาชนคนไทยได้เห็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ ไม่ว่าอย่างไรท่านก็จะอยู่ในใจคนไทยทั้งประเทศ และที่ผ่านมาท่านไม่ได้ไปไหน จากนี้ก็จะมีโอกาสได้ชวนไปพักผ่อนบ้าง แต่ยืนยันว่า ส่วนตัวจะยังคงอยู่ในเส้นทางการเมือง และถ้ามีอะไรก็จะไปปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์


ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออกจากตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่นั้น นายธนกร กล่าวว่า ไม่มั่นใจ แต่ไม่ว่าอย่างไร พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็คงต้องอยู่ต่อไป เพราะมี ส.ส.ถึง 36 คน ฉะนั้น การทำงานในพรรค หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค พวกเราก็ยังสามารถทำงานด้วยกันได้ ไม่มีปัญหา และยังทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลได้

นายธนกร ยังกล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลเพิ่งเริ่มต้น ตนเห็นบรรยากาศคนที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ควรมีวุฒิภาวะมากกว่านี้ ไม่ควรพูดจาเหน็บแนม หรือกระแนะกระแหนผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ส.ส.ลูกพรรคก็ไม่ควรเข้าร่วมหน่วยงานบางหน่วยงาน โดยใช้วาจาที่ไม่เหมาะสม เพราะการเลือกตั้งผ่านมาแล้ว ฉะนั้น หน่วยงานทหารต่างๆ ก็ไม่ควรไปกุเรื่องว่าจะเกิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะว่าไม่จริง วันนี้กำลังจะเป็นรัฐบาล ก็ควรมีวุฒิภาวะที่มากกว่านี้ ไม่ควรไปพูดจาว่าร้ายหน่วยงานรัฐ พร้อมย้ำว่า ตนพร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้าน และให้เกียรติว่าที่รัฐบาล ซึ่งการเมืองก็ควรว่ากันไป ไม่ควรสร้างวาทกรรมให้เกิดความขัดแย้ง โดยฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลทำงานร่วมกันได้ เพียงแต่มีคนละบทบาทหน้าที่

ทั้งนี้ เมื่อถามย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะวางมือภายหลังจากได้รัฐบาลใหม่ใช่หรือไม่ นายธนกร ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้พูด ตนแค่คิดเองว่าเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้อยู่ในจุดนี้ ก็ควรมีเวลากับครอบครัวเหมือนประชาชนคนไทยปกติ ซึ่งตนได้พูดกับ พล.อ.ประยุทธ์ ว่ายินดีจะทำงานให้ตลอดชีวิต เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ มีความเมตตากับตน พร้อมย้ำว่า ที่ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านอารมณ์ดีมาก เพราะการเมืองเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว มีแพ้ มีชนะ


นายธนกร ยังกล่าวว่า ควรให้รัฐบาลใหม่ได้แสดงฝีมือ เพราะเห็นตัวอย่างมาแล้วในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ได้รับคะแนนท่วมท้นเหมือนกัน แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น วันนี้เราต้องให้เกียรติประชาชน เมื่อเลือกพรรคก้าวไกลมาเยอะ ก็ต้องให้เขาแสดงฝีมือบริหารประเทศ นโยบายหลายอย่างก็ทำไป

เมื่อถามว่า การจัดตั้งรัฐบาล 310 เสียง จะมีความเข้มแข็งพอหรือไม่ นายธนกร ระบุว่า รัฐบาล 300 กว่าเสียง ย่อมไปได้อยู่แล้ว แต่ตนวิเคราะห์ว่ายังพอมีเวลาอยู่ พรรคเพื่อไทยแพ้แค่ 10 เสียง เขาคงให้โอกาสพรรคที่ชนะก่อน เพราะถ้าตั้งไม่ได้ พรรคอันดับ 2 ก็ตั้งได้ เหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา แล้วตนเชื่อว่า พรรคการเมืองทุกพรรคก็ต้องคิดไปถึงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อประเทศ เขาไม่น่าจะไปสุด ซึ่งยังมีเวลาอีก 2-3 เดือน ในการจัดตั้งรัฐบาล

เมื่อถามว่า ถ้าการเลือกตั้งในสภาไม่ได้ พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลใช่หรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า ไม่ขอไปก้าวล่วงพรรค เรา 36 เสียง ก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน รอให้เขาจัดตั้งไปก่อน ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ และ ส.ว.ก็มีแนวทาง ฉะนั้นอย่าไปดูแคลนมากเกินไป

“ส.ว.ท่านก็มีหัวจิตหัวใจ บางทีไปดูแคลนเขามากเกินไป แล้วอยู่ๆ จะให้เขาช่วยโหวตให้ ผมคิดว่ามันก็ต้องดู” นายธนกร กล่าว

เมื่อถามถึงกระแสขอให้พรรคการเมืองสนับสนุนให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีความเป็นไปได้หรือไม่ นายธนกร ถามกลับว่า ทำไมตนต้องยกมือให้ ตนไม่ได้เห็นด้วยกับนโยบายของเขา ตนเป็นหนึ่งใน 36 เสียง ที่ไม่ได้เห็นด้วยตั้งแต่แรก ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปยกมือให้   

“ท่านก็ตั้งให้ได้แล้วกัน ผมก็คิดว่าท่านตั้งได้ แต่สุดท้ายจะได้หรือไม่ได้ 2-3 เดือนก็รู้ ซึ่งที่ผ่านมาพรรคพวกฝ่ายค้านก็สามารถตั้งได้ พรรคอันดับ 1 ตั้งไม่ได้ อันดับ 2 ใครรวมเสียงข้างมากได้ ก็ตั้งรัฐบาลไป ก็เท่านั้นเอง” นายธนกร กล่าว

เมื่อถามว่า หากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นอันดับ 2 จัดตั้งรัฐบาล พรรครวมไทยสร้างชาติจะไปร่วมหรือไม่ นายธนกร ระบุว่า เรื่องนี้ตนตอบแทนพรรคไม่ได้ แต่ก็คิดว่าพรรคที่ได้อันดับ 2 มีโอกาสจะตั้งรัฐบาล เพราะจากที่ดูแถลงการณ์ต่างๆ ยังไม่เห็นชัดเลยว่าจะไปด้วยกันได้ ต้องดูเงื่อนไขและเอ็มโอยูก่อน เพราะถ้าเงื่อนไขและเอ็มโอยูไปด้วยกันไม่ได้ แล้วจะไปต่อได้อย่างไร แต่ขอย้ำว่า ตนไม่ขอไปก้าวล่วงฝ่ายที่มีเสียงข้างมาก ก็ให้ว่ากันไป พวกตนได้เสียงมาไม่มากก็ว่ากันไป.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]

“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ชายแดนสันติ

จีน 15 ส.ค.-“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ พร้อมขอบคุณที่เห็นความจำเป็นในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เห็นพ้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบรับคำเชิญของ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในการเข้าร่วมจิบน้ำชาและหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ไทย และกัมพูชา ในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation) หรือ MLC ครั้งที่ 10 ณ เมืองอันหนิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายมาริษ ได้แสดงความขอบคุณต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีน ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีต่างๆ และการบังคับใช้ให้เกิดการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนของอาเซียน พร้อมยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่ไทย-กัมพูชา ต้องร่วมมือกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล เนื่องจากเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเป็นปกติสุขในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ นายมาริษ ยังได้กล่าวขอขอบคุณ นายหวัง อี้ […]