เปิด 86 บริษัทดังรับเงินโอนตรงบัญชียาเสพติด

รัฐสภา 10 เม.ย.-“ส.ว.อุปกิต” เปิด 86 บริษัทชื่อดังในไทย รับเงินโอนตรงบัญชียาเสพติด บอกตอนนี้ชื่อเสียงย่อยยับ ไปไหนก็ถูกเรียก “ส.ว.ทรงเอ ” เตรียมร้อง ป.ป.ช. สอบ “พ.ต.ท.มานะพงษ์” ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ พร้อมส่งจดหมายเปิดผนึก จี้ “อัจฉริยะ-โรม” ตรวจสอบ 22 บัญชีเหมือนบริษัทอัลลัวร์ เพื่อความเป็นธรรม เสมอภาค เท่าเทียม


นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แถลงชี้แจงกรณีตกเป็นผู้ต้องหาเครือข่ายขบวนการฟอกเงินและค้ายาเสพติดชายแดนไทย-เมียนมา “ตุน มิน หลัต” ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้อีกครั้ง ว่า จะมาเรียนให้ทราบว่าสิ่งที่ตนดำเนินการไปแล้วและสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปคืออะไร เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ได้ไปที่สำนักงานสืบสวนของอัยการสูงสุด เพื่อไปพบกับเจ้าหน้าที่สอบสวนและอัยการ เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร และเนื่องจากก่อนหน้านี้นายรังสิมันต์ โรม อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลและนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมกล่าวหาตนจำเป็นต้องเข้าไปแสดงความบริสุทธิ์ใจ ความจริงใจ ให้ความร่วมมือ และให้ข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

“ผมไปด้วยความสมัครใจ ไม่ได้มีหมายเรียกเชิญหรือหมายจับใด ๆ ทั้งสิ้น ผมเข้าไปยืนยันว่าจะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด ไม่หนีไปไหน จากนั้นวันที่ 3 เมษายน ผมไปยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด ขอความเป็นธรรม เนื่องจากค้นพบว่ามีกว่า 86 บริษัททั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาที่ค้าขายอยู่ที่เมียนมาได้รับโอนเงินจากบัญชียาเสพติด 16 บริษัท และตอนหลังเพิ่มอีก  6 บริษัท รวมเป็น 22 บริษัท โดยโอนเข้าโดยตรง จะต่างกับคดีของบริษัทอัลลัวร์กรุ๊ป ที่โอนไปที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำไมไม่ไปกล่าวโทษบริษัทเหล่านั้น ทำไมเลือกผมคนเดียว เป็นการแกล้งกัน หรือเลือกปฏิบัติ ไม่เท่าเทียมกันหรือไม่ กฎหมายต้องเท่าเทียม เสมอภาคและให้ความเป็นธรรม ผมจึงไปยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดให้ไปตรวจสอบกว่า 86 บริษัทแล้ว และด้วยเหตุนี้จึงมายื่นหนังสือเปิดผนึกถึงนายรังสิมันต์และนายอัจฉริยะ รวม 2 ฉบับ” นายอุปกิต กล่าว


นายอุปกิต  กล่าวว่า นายรังสิมันต์ อภิปรายตนในสภาฯ ทำให้ตนไม่มีโอกาสแก้ตัวหรือพิสูจน์ตัวเอง เพราะไม่ได้อยู่ในการประชุมนั้นด้วย สร้างความเสียหายกับชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตน ทั้งที่เรื่องเกิดขึ้นหลายเดือนแล้ว แต่ทำไมเพิ่งนำมาอภิปราย  ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตจากการแถลงข่าวครั้งที่แล้วว่ามีนัยทางการเมืองหรือไม่ นายรังสิมันต์ เป็นคนรุ่นใหม่ การอภิปรายน่าจะมีความใหม่ มีความสด แต่กลับใช้วิธีเดิม ๆ และวิธีโบราณ เอาเอกสารมาจากไหนไม่ทราบ และมาทราบตอนหลังว่าเป็นประวัติแชทที่นานเป็นสิบ ๆ ปีมาแล้ว

“แต่พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ อดีตสารวัตร กองกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เอาไปตัดต่อ และแปลผิด ๆ เพื่อทำหลักฐานมามัดผม และออกหมายจับผม ผมจึงให้บริษัททนายที่มีความชำนาญด้านภาษาอังกฤษแปลแล้วยื่นไปที่ศาล และคณะสอบสวนทุกที่ ซึ่งบัญชีที่ตำรวจกล่าวหาว่าเป็นบัญชียาเสพติดนั้น ได้โอนตรงถึง 86 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทย แต่ของผมคือโอนไปตามใบแจ้งหนี้ของ กฟภ. ไม่ใช่การนำเงินสะอาดมาฟอกให้เป็นเงินสกปรก วันนี้ผมได้ฝากหนังสือเปิดผนึกไปถึงนายรังสิมันต์ ถ้านายรังสิมันต์ที่อ้างว่าไม่ได้โหนกระแส และไม่ได้หวังผลทางการเมืองก็ช่วยไปตรวจสอบ 86 บริษัทนี้ด้วย นายอัจฉริยะ ที่เป็นบุคคลแรก ๆ ที่เปิดประเด็นนี้ และร้องเรียนหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมต่าง ๆ ได้ออกมาพูดทำให้ขบวนการเสีย” นายอุปกิต กล่าว

นายอุปกิต กล่าวว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะออกหมายจับตน เพราะมีหน้าที่รับผิดชอบการสืบสวนเท่านั้น ความจริง พ.ต.ท.มานะพงษ์ ต้องส่งเรื่องให้ฝ่ายสอบสวนคือกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 เพื่อออกหมายจับ ซึ่งต้องออกหมายเรียกตนก่อนที่จะออกหมายจับ เพราะตนมีตัวตน มีบ้านอยู่ ถ้าออกหมายเรียกจะรีบไป พ.ต.ท.มานะพงษ์ ออกหมายจับ โดยไม่แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบว่าจะออกหมายจับผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เมื่อไปที่ศาลก็ไม่ได้แจ้งผู้พิพากษาที่อยู่เวรว่าจะมาขอหมายจับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะเห็นว่าผิดถึง 3 ขั้นตอน ทั้งนี้ ถ้าผู้พิพากษาเวรทราบว่าจะออกหมายจับผู้ดำรงตำแหน่ง จะต้องไปปรึกษากับรองอธิบดีผู้พิพากษา และอธิบดีผู้พิพากษา เพื่อไม่ให้กลั่นแกล้งกัน จึงเป็นเลือกปฏิบัติกับผมแต่ผู้เดียว ไม่ตรวจสอบ 86 บริษัทที่รับโอนเงินจากบัญชียาเสพติดโดยตรง แต่มาจับคนที่เกี่ยวกับบริษัท อัลลัวร์กรุ๊ป อย่างรวดเร็ว


“ยืนยันว่าผมไม่หนีไปไหน ผมจะสู้จนสุดท้าย หลังจากเสร็จการแถลงข่าวจะไปยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เนื่องจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เพราะตั้งหน้าตั้งตาออกหมายจับโดยไม่รู้หน้าที่และกฎหมาย ใช้เพียงความคิดของตัวเองดำเนินการด้วยตัวเอง ไม่มีผู้ใหญ่ ผู้บังคับบัญชา และศาลกลั่นกรอง หากปล่อยไว้ในสังคมแบบนี้จะเป็นอันตรายมาก ทั้งยังมีความพยายามสร้างเรื่องให้ตนเป็นตัวร้าย ถ้านายรังสิมันต์ไม่ได้สร้างกระแสเพื่อหาเสียงทางการเมือง ก็ไปช่วย ตรวจสอบ 86 บริษัทเหล่านี้ด้วย ไม่ใช้ว่าจ้องเล่นงานตนคนเดียว

“หลังจากนี้ผมจะมีของขวัญให้นายรังสิมันต์และนายอัจฉริยะ จึงขอให้โปรดติดตาม สิ่งที่สร้างสรรค์ของนายรังสิมันต์ คือตั้งฉายาผมว่า ส.ว.ทรงเอ ตอนนี้ผมไปไหน ไปเดินตลาดคนก็ชี้ว่าคนนี้คือส.ว.ทรงเอ สร้างความเสียหายให้ผมและวงศ์ตระกูล สุดท้ายขอฝากรัฐบาลรักษาการนี้และรัฐบาลหน้าให้ช่วยหาทางแก้ไขปัญหาการค้าขายชายแดนอย่างถาวร ผมทราบมาว่านักธุรกิจหลายคนประสบปัญหาคล้ายกับบริษัท อัลลัวร์กรุ๊ปเรื่องการโอนเงิน เพื่อแยกระหว่างยาเสพติดและธุรกิจค้าขายที่ดี เพื่อไม่ให้นักธุรกิจประสบปัญหาเช่นเดียวกับผม ทั้งที่เราไม่ได้ทำผิด จึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องหาทางแก้ไขโดยด่วน จากนี้ผมจะปวารณาตัวหาทางช่วยให้นักธุรกิจไม่ต้องประสบเหมือนกับผม ขอให้ติดตามตอนต่อไป” นายอุปกิต กล่าว

ส่วนเอกสารที่ฝากไปให้นายรังสิมันต์ และนายอัจฉริยะมีรายละเอียดอย่างไร นายอุปกิต กล่าวว่า ขอให้ดูรายละเอียดในเอกสารที่แจกให้ไป หากต้องการให้เรื่องมีความเสมอภาค โดยในเอกสารได้ระบุรายชื่อของบริษัททั้งหมดไว้แล้ว ซึ่งเหตุที่ทราบเพราะได้มาจากเอกสารที่อัยการใช้ฟ้องนายทุน มินลัต กับลูกเขยของตน ซึ่งขอถามกลับว่านายรังสิมันต์นำเอกสารหลักฐานมาจากไหน หรือเพียงเกาะกระแส แล้วทำให้เป็นเรื่องการเมือง มาปรักปรำจนทำให้เสียชื่อเสียงไปทั้งประเทศ

เมื่อถามถึงความแตกต่างระหว่าง 86 บริษัท กับบริษัท อัลลัวร์กรุ๊ป นายอุปกิต กล่าวว่า ไม่มีความแตกต่าง นอกจากบริษัทกลุ่มอัลลัวร์ กรุ๊ปโอนเงินไปที่กฟภ. และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจโดยตรง ชำระตามบิลค่าไฟฟ้าที่แจ้งมาเท่านั้น ซึ่งควรจะเอาผิดบริษัทเหล่านั้นมากกว่าอัลลัวร์กรุ๊ปด้วยซ้ำ

เมื่อถามย้ำว่า ได้รายชื่อ 86 บริษัท มาจากไหน นายอุปกิต หันไปทางทนายความส่วนตัว ซึ่งตอบแทนว่า เป็นเอกสาร จ.29 โดยนายอุปกิตทวนอีกครั้งว่าเอกสารต่าง ๆ ซึ่งใช้สิทธิขออนุญาตศาลคัดข้อมูลเหล่านั้นมาจากเอกสารทั้งหมด 5 กล่องใหญ่ ตนได้อ่านทั้งหมดจนทราบว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ ได้แปลหลักฐานผิด สร้างความเสื่อมเสียให้ตน อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณนายรังสิมันต์ที่อภิปรายถึง ทั้งที่ไม่มีโอกาสชี้แจงหรือตอบโต้ แต่อย่างน้อยทำให้ตนได้สติและไปอ่านเอกสารต่าง ๆ

ส่วนการชิงมอบตัวก่อนและเปิดเผย 86 บริษัท ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการใช้เทคนิคทางกฎหมายเพื่อประวิงเวลาหรือไม่ นายอุปกิต ตอบด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ ว่า “คุณไม่เข้าใจหรือว่าผมถูกปฏิบัติไม่เป็นธรรมแต่เพียงผู้เดียว ทั้งที่กว่า 86 บริษัท ได้รับการโอนเงินโดยตรงจากบัญชีพ่อค้ายาเสพติดโดยไม่มีปลายทางไปที่อื่นด้วย คุณไม่ดำเนินการเขา แต่ดำเนินการกับผม อย่างนี้กฎหมายยุติธรรมเสมอภาคหรือไม่”

ส่วนเรื่องการเสียภาษี นายอุปกิต กล่าวว่าหากจดทะเบียนในไทย ก็คงดำเนินการชำระภาษีเหมือนบริษัทอื่นๆ ในไทย แต่มองว่าไม่ได้กระทบกับภาพรวมของคดีดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเดินทางกลับนายอุปกิต กล่าวตัดพ้อกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะนายรังสิมันต์พยายามอภิปราย และตั้งชื่อตนว่าส.ว.ทรงเอ ตอนนี้ไปที่ไหนก็ถูกเรียกว่าส.ว.ทรงเอ จนชื่อเสียงย่อยยับ ไปตลาดคนก็เรียกว่าส.ว.ทรงเอ เมื่อตนไปเปิดดูก็พบว่า มาจากคำว่า เอเย่นต์ขายยา พร้อมถามกับผู้สื่อข่าวว่า “คิดว่าผมเหมือนหรือไม่”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอุปกิตได้ทำหนังสือถึงนายอัจฉริยะและนายรังสิมันต์ เพื่อให้ตรวจสอบนิติบุคคลและบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งเนื้อหาระบุว่า ตามที่ท่านเป็นบุคคลแรก ๆ ที่ออกมาเปิดประเด็นเกี่ยวกับคดีของกลุ่มบริษัท อัลลัวร์และตน รวมทั้งได้เคลื่อนไหว เรียกร้อง ร้องเรียนกับหน่วยงานในสายงานกระบวนการยุติกรรมและสื่อนำนักต่างให้ดำเนินคดีกับตน โดยอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องและอยู่เบื้องกลุ่มบริษัทอัลลัวร์ กรุ๊ป ทั้งหมด ที่รับโอนเงินค่ายาเสพติดจากบัญชีเครือข่ายยาเสพติดไปชำระค่าไฟฟ้า แล้วแปลเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าส่งไปให้พ่อค้ายาเสพติดที่ประเทศเมียนมานั้น

“ขณะนี้ผมได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความบริสิทธิ์ และได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 3 เม.ย.2566 ขอให้ตรวจสอบนิติบุคคลและบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ได้รับโอนเงินจากบัญชียาเสพติดเช่นกับกลุ่มบริษัทอัลลัวร์และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อชำระเงินค่าไฟฟ้าในนามกลุ่มบริษัทอัลลัวร์ ซึ่งบัญชีเครือข่ายยาเสพติด 16 บัญชีและต่อมาได้ตรวจสอบเพิ่มอีก 6 บัญชี รวม 22 บัญชี ซึ่งจากกาตรวจสอบการเดินบัญชีข้างต้นที่ปรากฎในสำนวนของศาลอาญา คดีดำที่ ย1249/2565 คดีนายทุน มิน หลัด กับพวก และเป็นบัญชีที่พ.ต.ท.มานะพงศ์ วงศ์พิวัฒน์ ใช้เป็นพยานหลักฐาน เพื่อกล่าวหา และดำเนินคดีกับกลุ่มบริษัทอัลลัวร์ รวมทั้งผมพบว่ามีนิติบุคคลที่ได้รับโอนเงินจากบัญชีดังกล่าวเช่นเดียวกับกลุ่มบริษัทอัลลัวร์ ทั้งหมด 86 บริษัท  เท่าที่ได้ตรจสอบการรับโอนจากบัญชีเครื่อข่ายยาเสพติดของนิติบุคคลและบุคคลทั่วไปเหล่านี้เป็นการรับโอนจากบัญชีเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน ที่มีการชำระเงินค่ากระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคของกลุ่มบริษัทอัลลัวร์ และที่สำคัญนิติบุคคลเหล่านั้นทั้งหมดรับโอนเข้าบัญชีนิติบุคคลนั้น ๆ โดยตรง แต่กลับไม่ดำเนินคดีกับนิติบุคคลเหล่านั้น ขณะที่กลุ่มบริษัทอัลลัวร์ฯ ไม่ได้รับเงินไว้โดยตรง ปลายทางเส้นทางเงินอยู่ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทั้งหมด แต่ถูกดำเนินคดี” หนังสือดังกล่าวระบุ

นายอุปกิต ยังระบุในหนังสือด้วยว่า ขอเรียกร้องให้นายอัจฉริยะที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับคดีนี้เป็นพิเศษ ดำเนินการกับนิติบุคคลและบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่รับโอนเงินจากบัญชียาเสพติดในลักษณะเดียวกันกับที่ได้ดำเนินการกับกลุ่มบริษัทอัลลัวร์ฯ และตนเพื่อให้เห็นว่าการดำเนินการต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเป็นธรรม เสมอภาค เท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เกี่ยวกับการการเมือง และไม่มีผู้อยู่เบื้องหลัง

ทั้งนี้ นายอุปกิตได้เรียกร้องให้ตรวจสอบบัญชีธนาคารส่วนใหญ่เป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐและเอกชน  ทั้งหมด 22 ธนาคาร และบริษัท 86 บริษัท ส่วนใหญ่เป็นบริษัทชั้นนำในประเทศ.-สำนักข่าวไทย  

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

อพยพด่วน! พนังกั้นน้ำแตกทะลักท่วมเทศบาลเมืองหล่มสัก จ.เพชรบูรณ์

เพชรบูรณ์ 20 ก.ย. – พนังกั้นน้ำหน้าสวนดงตาลแตก ทำให้น้ำทะลักท่วมเทศบาลเมืองหล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่เร่งเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียงและอพยพประชาชนไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย มีรายงานว่า พนังกั้นน้ำหน้าสวนดงตาลแตก ฝั่งถนนพิทักษ์ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ทำให้น้ำทะลักท่วมเทศบาลเมืองหล่มสัก รอบที่ 2 กู้ชีพกู้ภัย รถพยาบาล ระดมกำลังเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียง และอพยพประชาชนไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ขณะที่เจ้าหน้าที่ประกาศห้ามรถทุกชนิดผ่าน และให้ยกของขึ้นที่สูงโดยด่วน ส่วนอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการชลประทาน พร้อมทหาร เร่งวางแบริเออร์ กระสอบทรายบริเวณสวนสาธารณะดงตาล เพื่อชะลอมวลน้ำไม่ให้เข้าในพื้นที่.-สำนักข่าวไทย

“20 ชม.” แพทย์ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ผ่าตัดต่อมือเด็กสำเร็จ

เชียงใหม่ 20 ก.ย.- ทีมแพทย์ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ผ่าตัด 20 ชั่วโมง ต่อมือเด็กหญิงวัย 14 ปี ประสบความสำเร็จ หลังถูกฟันขาด เบื้องต้นยังต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด เหตุการณ์ ขณะนายจายอ้ายหม่อง หรือ นายหม่อง อันธพาลเมียนมาและพวก ถือมีดสปาต้า วิ่งเข้าไล่ฟันกลุ่มผู้เสียหาย จนได้รับบาดเจ็บ 3 คน หนึ่งในนั้น คือ ด.ญ.อายุ 14 ปี ซึ่งยกแขนขึ้นบัง ทำให้ถูกนายหม่องฟันจนข้อมือขาด เหตุเกิดเมื่อกลางดึกของวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา บริเวณร้านซักรีดแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.หนองป่าครั่ง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ต่อมาตำรวจตามจับคนก่อเหตุได้ทั้งหมด 15 ราย ล่าสุด รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ออกแถลงการณ์ ระบุได้รับผู้ป่วยเด็กหญิงอายุ 14 ปี ซึ่งถูกทำร้ายด้วยอาวุธมีดจนมือขวาขาดระดับข้อมือ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 16 […]

“นายกฯ อนุทิน” ลงพื้นที่อ่างทอง ประกาศไม่ต้องลุ้น 4 เดือนยุบสภาแน่

อ่างทอง 20 ก.ย. – “นายกฯ อนุทิน” ลงพื้นที่อ่างทอง จังหวัดแรก ประกาศไม่ต้องลุ้น 4 เดือนยุบสภาแน่ ทำงานเต็มที่ หวังประชาชนเลือกกลับเข้ามาอีก พร้อมอวยพรวันเกิด “ภราดร” ครบ 46 ปี เจ้าตัวถึงกับคุกเข่ามอบมาลัยขอบคุณ “อนุทิน“ อ้อนชาวอ่างทอง อสม.แฟนเก่า ขอยืมตัว “ลูกแบด” ไปเป็น รมต. คุมสำนักงบฯ ตามติดตัว 24 ชั่วโมง บอกเก่งทุกเรื่อง ยกเว้นหาเมีย ขณะครอบครัว “ปริศนานันทกุล” ปลื้ม คนดังการเมืองตบเท้าแน่น “อนุทิน” ประกาศเชียร์คืนความเป็นธรรม อดีตผู้ว่าฯ อ่างทอง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ใช้โอกาสก่อนลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วม เดินทางมาที่ อบจ.อ่างทอง เพื่อพบปะกับประชาชน และร่วมอวยพรวันเกิดให้กับนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อายุครบ 46 ปี ซึ่งมีครอบครัว ทั้งนายสมศักดิ์ […]

พิธีบวงสรวงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.7 ประดิษฐานหน้าอาคารรัฐสภา

รัฐสภา 20 ก.ย.- รัฐสภา จัดพิธีบวงสรวงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (องค์ใหม่) ประดิษฐานหน้าอาคาร ขนาดใหญ่กว่าพระองค์จริง 4 เท่า เมื่อเวลา 08.00 น. รัฐสภา จัดพิธีบวงสรวงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (องค์ใหม่) เพื่อประดิษฐานบนแท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ณ บริเวณด้านหน้าอาคารรัฐสภา (ถนนสามเสน) โดยมีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่1 เป็นประธานในพิธี นอกจากนี้ยังมี พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. นายชวนหลีก หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปปัตย์ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่านพรรคเพื่อไทย น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ สส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และประธานกรรมการ บมจ.อสมท รวมถึงข้าราชการรัฐสภา ร่วมพิธีด้วย โดยนายไชยาและพล.อ.สวัสดิ์ ถวายพวงมาลัยและโปรยดอกไม้ที่พระบาทของพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ จากนั้นปักธูปที่เครื่องบวงสรางพร้อมโปรยดอกไม้ จากนั้นนายฉัตรชัย ปิ่นเงิน หัวหน้าโหรพราหมณ์ สำนักพระราชวัง อ่านโองการจากนั้นเชิญประธานในพิธีโปรยดอกไม้ที่โต๊ะเครื่องบวงสรวง วางพานประดับพุ่มดอกไม้ และจุด ธูป เทียน […]