กรุงเทพฯ 13 มี.ค.- “ประชาธิปัตย์ กทม.” ประกาศสงครามฝุ่น PM 2.5 คุมมลพิษใจกลางเมือง 16 เขต พร้อมเดินหน้าจัดการจนกว่าจะได้อากาศสะอาดไว้หายใจ
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. ได้ร่วมกันแถลงถึงแนวทางการประกาศสงครามกับฝุ่น PM 2.5 กำหนดเขต ควบคุมมลพิษใจกลางเมือง 16 เขต และการแก้ไขปัญหา เพื่อเดินหน้าจัดการจนกว่าจะได้อากาศสะอาดไว้หายใจ ที่บริเวณหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
นายองอาจ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ เล็งเห็นความสำคัญของปัญหา PM 2.5 จึงได้พยายามหามาตรการและแนวทางต่างๆ เพื่อเข้ามาแก้ปัญหานี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้พยายามนำเสนอข้อมูล เหตุผล ในการแก้ไขปัญหา แต่ก็ยังพบว่าการแก้ไขปัญหายังไม่สามารถดำเนินการได้เท่าที่ควร ด้วยสาเหตุ 3 ประการ คือเนื่องจากผู้บริหารที่รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ยังมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง เมื่อหลายปีก่อนในช่วงเริ่มต้นที่มีปัญหา PM 2.5 เฉพาะในกรุงเทพมหานครเพิ่มมากขึ้น ผู้บริหารจะบอกว่าอีกไม่นานปัญหานี้ก็จะค่อยๆ หมดไป เป็นเรื่องที่มาตามเทศกาลช่วงปลายปีต่อเนื่องกับช่วงต้นปี สิ่งนี้ถือว่าเป็นทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง
ขณะเดียวกันเห็นว่า ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ยังไม่เอาจริงเอาจังเท่าที่ควรกับมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบันในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 การบังคับใช้กฎหมายยังไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง และสุดท้ายมองว่า มีวิธีการและมาตรการอื่นๆ อีกมากมาย ที่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหา PM 2.5 แต่พบว่า ผู้บริหารที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ ก็ยังไม่ได้พยายามที่จะหามาตรการหรือแนวทางให้ทันกับการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน
พรรคประชาธิปัตย์ จึงมอบหมายให้นายสุชัชวีร์ ศึกษาตามกระบวนการ ฟัง – คิด – ทำ ร่วมกับพี่น้องประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจาก PM 2.5 ร่วมกับนักวิชาการ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง จนกระทั่ง มีข้อสรุปเชิงนโยบาย เพื่อกำหนดวิธีการ แนวทาง และมาตรการในการแก้ไขปัญหา ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่า ถ้าได้มีโอกาสรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหา PM 2.5 จะสามารถแก้ไขปัญหา PM 2.5 ได้ในที่สุด
ด้านนายสุชัชวีร์ กล่าวว่า อากาศสะอาด เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ มีนโยบาย “ประกาศสงครามกับ ฝุ่นพิษ PM2.5” ที่ประกอบด้วย
- ประชาชนทุกคนต้องมีสิทธิรับรู้ข้อมูล และอันตรายของมลพิษทางอากาศ อย่างเท่าเทียม รัฐรู้เท่าไหร่ ประชาชนต้องรู้เท่านั้น โดยรัฐต้องแสดงปริมาณฝุ่นให้ประชาชนได้รับรู้ บริเวณโรงเรียน โรงพยาบาล พื้นที่ก่อสร้าง และพื้นที่เสี่ยง เพื่อการปกป้องสุขภาพ และเพื่อการควบคุมฝุ่น ขณะที่ในพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรม และการก่อสร้าง ประชาชนมีสิทธิในการตรวจสอบขอประเมินคุณภาพอากาศ ตลอดจนประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการรับรู้ ประเมิน และตรวจสอบ ร่วมกับภาครัฐและเอกชน
- เร่งออก “กฏหมายอากาศสะอาด Clean Air Act” จากการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ภาควิชาการ และภาคการเมือง โดยยึดหลักมาตรฐานสากล โดยกฎหมายอากาศสะอาด จะกำหนดเป้าหมายและมาตรฐานมลพิษทางอากาศอย่างเป็นธรรมต่อสุขภาพประชาชนและการพัฒนาประเทศ ตามหลักสุขภาพสากล ซึ่งกฏหมายอากาศสะอาดจะเน้นการกระจายอำนาจในการควบคุม ประเมิน ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหา อย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ กฏหมายสะอาดจะใช้มาตรการ ภาษีฝุ่นและค่าธรรมเนียม กับการปลอดมลพิษอย่างไร้ความรับผิดชอบของบุคคลและนิติบุคคล เพื่อนำมาใช้ในการรักษา เยียวยาปัญหาสุขภาพของประชาชนที่ได้รับกระทบ และจะให้ประโยชน์การลดหย่อนภาษีและโบนัสแก่บุคคลและนิติบุคคลที่ช่วยป้องกันฝุ่น ลดมลพิษ และกฏหมายอากาศสะอาดจะส่งเสริมการวิจัย และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมภายในประเทศ รวมทั้งการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจัดการมลพิษทางอากาศ และสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด
- กำหนดเขตมลพิษต่ำ “Bangkok Low Emission Zone” หรือ “B-LEZ” (บีเลส) นำร่อง 16 เขตกรุงเทพชั้นใน บริเวณเขตพระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ ดุสิต พญาไท ราชเทวี ปทุมวัน สาทร บางรัก บางคอแหลม บางพลัด บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ คลองสาน ธนบุรี และเขตยานนาวา ครอบคลุมพื้นที่กว่า 130 ตารางกิโลเมตร เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างจริงจัง เพราะเขตกรุงเทพชั้นใน 16 เขต มีสถานศึกษามากกว่า 300 โรงเรียน และสถานพยาบาลมากกว่า 40 แห่ง ที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นอย่างรุนแรง ด้วยการควบคุมรถขนส่งและรถสาธารณะที่ปล่อยฝุ่น รวมทั้งการก่อสร้างที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างจริงจังในพื้นที่ เพื่อเป็นพื้นที่ต้นแบบในการแก้ปัญหามลพิษ.-สำนักข่าวไทย