พปชร. 27 ก.พ.-พปชร. ไม่ติดใจ “พล.อ.ประยุทธ์” นำนโยบายที่ “สมคิด-อุตตม-สนธิรัตน์” ต้นคิด ย้อนดู 8 ปีประชาชนรู้ว่าผลงานใคร
นายอุตตม สาวนายน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงนโยบายต่าง ๆ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติประกาศบน เวทีปราศรัย จ.นครราชสีมา เมื่อ 25 ก.พ.ที่ผ่านมาซึ่งพบว่ามีหลายนโยบายทับซ้อนกับของพรรคพลังประชารัฐ อย่างไรก็ตาม พรรคพลังประชารัฐไม่ได้ซีเรียสในเรื่องนี้ โดยเฉพาะพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ซึ่งประกาศชัดเจนก่อนหน้านี้ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พรรคพลังประชารัฐยินดีให้การสนับสนุน ไม่ต้องการเอาชนะคะคานกันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนทราบดีว่านโยบายต่าง ๆ มีขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นคนคิดริเริ่มและผลักดันจนเป็นรูปธรรม เพียงแต่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ทุกเรื่องต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้า ดังนั้น จึงไม่แปลกที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาจะหิ้วนโยบายเหล่านั้น ติดตัวไปอยู่พรรคอื่นด้วย
“อย่างนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็แค่ย้อนกลับไปดูว่า โครงการนี้ เปิดให้ผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนครั้งแรกในปี 2559 ซึ่งขณะนั้น คนที่เข้ามาคุมนโยบายเศรษฐกิจให้รัฐบาลคสช. คือ ท่านสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ตั้งแต่กลางปี 2558 ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ มอบหมายให้ท่านสมคิด กำกับดูแลหน่วยงานด้าน เศรษฐกิจและที่เกี่ยวข้อง 9 หน่วยงาน คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงการ ต่างประเทศ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน ขณะที่ผมและท่านสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ก็เข้าร่วมครม. ไปเป็นรัฐมนตรีคุม กระทรวงด้านเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับดูแลของนายสมคิด ซึ่งได้มีนโยบายต่าง ๆ ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะแค่โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” นายอุตตม กล่าว
นายอุตตม กล่าวว่า เมื่อตนทำหน้าที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผ่านการเลือกตั้งปี 2562 แล้ว ส.ส.ทุกคนของพรรคพร้อมใจกันเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี นายสมคิดและพวกตนยังร่วมครม.คุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจ เดินหน้าผลักดันนโยบายที่ริเริ่มเอาไว้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งพวกผมลาออกจาก ครม. ในปี 2563 ถ้าย้อนดูไทม์ไลน์ช่วง 8 ปีจะรู้ว่าใครเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันนโยบายเหล่านี้ แต่ไม่สำคัญเท่ากับประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ถ้าพรรคไหนเห็นว่านโยบายของเราดี จะนำไปสานต่อ พรรคพลังประชารัฐและ พล.อ.ประวิตร ก็ยินดี ไม่ขัดข้อง
ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ความเห็นว่า นโยบายต่างๆ เหล่านี้ เป็นการริเริ่มของท่านสมคิด อดีตรองนายกรัฐมนตรี และพวกตน ตั้งแต่ช่วงรัฐบาล คสช. ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จึงถือได้ว่าเป็นผลผลิตของพรรคพลังประชารัฐ ทั้งโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมถึง EEC หรือโครงการเขตพิเศษภาคตะวันออก มาจากแนวคิดของนายสมคิดและนายอุตตมที่นำเสนอต่อรัฐบาลคสช. เพื่อพลิกฟื้นประเทศ แล้วเดินหน้าผลักดันต่อในนามพรรคพลังประชารัฐ ถือเป็นโครงการหลักของ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะพลิกฟื้นด้านการลงทุนแล้ว ยังยกระดับ ด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของไทยให้ก้าวกระโดดสู่ไทยแลนด์ 4.0
“ส่วนการแก้ปัญหาที่ดินทำกินและการจัดการน้ำ ประชาชนทราบดีว่า พล.อ.ประวิตร เป็นผู้ขับเคลื่อนมาตลอด ดังที่ปรากฏข้อมูลผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ตลอดระยะเวลาที่พล.อ.ประวิตรกำกับดูแลงานด้านน้ำได้ลงพื้นที่กว่า 79 ครั้ง ใน 55 จังหวัด ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรงในหลายเรื่อง เช่น เพิ่มประสิทธิภาพประปาหมู่บ้าน พัฒนาแหล่งน้ำผิวดินให้ถเก็บกักน้ำได้เพิ่มขึ้น พัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ประชาชนได้รับประโยชน์จากน้ำอุปโภคบริโภคและการเกษตรถึง 1.33 ล้านครัวเรือน ในช่วงใกล้เลือกตั้งนี้ ผมคิดว่าคนที่คิดและคนลงมือทำ จะเข้าใจและผลักดันให้เกิดขึ้นจริงประชาชนได้ประโยชน์จริง มากกว่าการสั่งการตามหน้าที่” นายสนธิรัตน์ กล่าว
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า จริง ๆ แล้ว พรรคพลังประชารัฐไม่คิดว่าจะต้อง มาตอบโต้หรือช่วงชิงว่าใครเป็นเจ้าของนโยบาย เพราะทุกพรรคที่ร่วม รัฐบาลต่างก็ถือว่ามีส่วนร่วมกับทุกนโยบายที่ผ่านมติ ครม. แต่ในเมื่อสังคม เกิดความกังขา และสื่อมวลชนสอบถามมา เราก็พร้อมจะไล่เรียงเพื่อให้เกิดความชัดเจน.-สำนักข่าวไทย