ทำเนียบรัฐบาล 27 ก.พ.-“พล.อ.ประวิตร” ให้ฝ่ายเสนาธิการการเมืองร่ายยาวเปิดใจแทน เหตุยังไม่วางมือจากการเมือง ยันผ่านการตรวจทานแล้วพร้อมรับผิดชอบทุกตัวอักษร ย้ำต้องก้าวข้ามขัดแย้ง เดินหน้าประเทศ มั่นใจทำได้ ขอประชาชนให้โอกาส
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นเพจทางการของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ทำไมต้อง “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” เพราะแม้จะมีเหตุผลมากมายที่หลายคนเห็นว่าผมควรจะหยุด และกลับไปใช้ชีวิตสบาย ๆ ซึ่งจะทำให้ผมมีความสุขมากกว่า เนื่องจากชีวิตไม่ได้รู้สึกขาดแคลนอะไรแล้ว และนั่นทำให้ผมคิดแล้ว คิดอีกอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ในที่สุดแล้ว ผมตัดสินใจที่จะทำงานต่อ
“แน่นอนว่าเหตุผลหนึ่ง คือ ผมผูกพันกับคนที่ร่วมสร้างพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นมาจนประสบความสำเร็จ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศมาเกือบครบ 4 ปีเต็ม ๆ ทุกคนล้วนมีความหวัง ความฝันที่จะทำงานการเมืองต่อไป ทุกคนร่วมทำงานหนักกันมา เมื่อถึงวันที่จะต้องลงเลือกตั้งกันใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันที่เข้มข้น การต่อสู้รุนแรงมาก ใครไม่พร้อมก็ยากที่จะเดินต่อไปได้ ผมจะคิดแค่เอาตัวรอด ทิ้งเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ร่วมสร้างพรรคพลังประชารัฐ ที่ยังมีความฝันอยู่เต็มเปี่ยมได้อย่างไร” พล.อ.ประวิตร ระบุ
พล.อ.ประวิตร ระบุว่า นั่นเป็นเหตุผลแรก แต่ลึกไปในใจ ในความรู้สึกนึกคิด ผมมีเหตุผลส่วนตัวที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเหตุผลที่เกิดจากการทบทวนครั้งแล้ว ครั้งเล่า ถึงทางออกของชาติบ้านเมือง ว่าควรจะทำอย่างไรกันดี เป็นการทบทวนที่มองผ่านเข้าไปในประสบการณ์ชีวิตของผมทั้งหมด แล้วหาข้อสรุปว่าเกิดอะไรกับประเทศ ผมจะค่อย ๆ เล่าให้ฟังว่า อะไรที่ผมพบเจอ รับรู้และเกิดความคิดอย่างไรในแต่ละช่วงชีวิต จนสุดท้ายตัดสินใจทำงานการเมืองต่อ ด้วยความคิดว่าตัวเองจะทำประโยชน์ด้วยการคลี่คลายปัญหาให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความสดใส
“ผมจะเริ่มจากการเล่าให้เห็นประสบการณ์รับราชการทหารตั้งแต่นายทหารผู้น้อย ค่อย ๆ เติบโตมาถึงผู้บัญชาการกองทัพ ได้รับการหล่อหลอมให้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มาทั้งชีวิต จนผลึกความคิด ความเชื่อ ความศรัทธา เป็นจิตวิญญาณที่เปี่ยมด้วยความจงรักภักดีของผม อย่างมั่นคง ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ในห้วงเวลาเกือบทั้งชีวิตในราชการทหาร ด้วยจิตสำนึกดังกล่าว ผมได้รับรู้ความห่วงใยของคนในวงการต่าง ๆ ที่มีต่อความเป็นไปทางการเมืองของประเทศ อาจจะเป็นเพราะผมเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพ เสียงความห่วงใยส่วนใหญ่จึงมีเป้าหมายไปที่ นักการเมือง คนกลุ่มหนึ่งซี่งมีบทบาทสูงต่อความเป็นไปของประเทศ หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายว่ากลุ่มอิลิท ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการกำหนดความเป็นไปของประเทศ มองความเป็นมาและพฤติกรรมของนักการเมือง ด้วยความไม่เชื่อถือ และความไม่เชื่อมั่น ลามไปสู่ความข้องใจในประชาธิปไตย และความรู้ความสามารถของประชาชน ในการเลือกนักการเมืองเข้ามาครอบครองอำนาจบริหารประเทศ” พล.อ.ประวิตร ระบุ
พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ความไม่เชื่อมั่นต่อนักการเมือง และการเลือกของประชาชนนั้น ทำให้ผู้มีบทบาทกำหนดความเป็นไปของประเทศเหล่านี้ เห็นดีเห็นงามกับการหยุดประชาธิปไตย เพื่อปฏิรูป หรือปฏิวัติกันใหม่ หวังแก้ไขให้ดีขึ้น คนในกลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่หวังดี อยากเห็นประเทศพัฒนาไปสู่ความรุ่งเรือง เป็นผู้มีประสบการณ์ที่พิสูจน์แล้วว่ามีความรู้ความสามารถ หากสามารถชักชวนเข้ามาทำงานให้กับประเทศได้จะเป็นประโยชน์ แต่เป็นที่น่าเสียดายยิ่งว่า คนที่ประสบความสำเร็จในการใช้ความรู้ ความสามารถเหล่านี้ ไม่มีโอกาสเข้ามาช่วยประเทศชาติในช่วงที่ระบบการเมือง จัดสรรผู้เข้ามามีอำนาจบริหารตามโควตาจำนวน ส.ส. ที่ประชาชนเลือกเข้ามา โอกาสที่จะเข้ามาช่วยประเทศชาติ มีเพียงช่วงที่รัฐบาลมาจากอำนาจพิเศษหรือการปฏิวัติ รัฐประหารเท่านั้น การรับราชการทหารมาเกือบทั้งชีวิต ทำให้ผมรู้จัก เข้าใจ และแทบจะมีความคิดในทางเดียวกับคนที่หวังดีต่อประเทศชาติเหล่านี้
“นั่นเป็นความคิดในช่วงแรก แม้จะครอบคลุมเวลาส่วนใหญ่ของชีวิต แต่หลังจากเข้ามาทำงานร่วมกับนักการเมือง และตั้งพรรคการเมือง ทั้งในช่วงเป็น รมว.กลาโหม และเป็นผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ จนมาเป็นหัวหน้าพรรค ผมได้รับประสบการณ์อีกด้าน อันทำให้เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องนำพาประเทศไปด้วยระบอบประชาธิปไตย เพราะในความเป็นจริงทางการเมือง ไม่ว่านักการเมืองส่วนใหญ่จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ที่สุดแล้วอำนาจการบริหารประเทศต้องกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งผู้ที่อำนาจตัดสินว่าจะให้ใครเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ก็คือประชาชน มีความจริงอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือแม้ในการเลือกตั้งทุกครั้ง ผู้ยึดครองอำนาจด้วยวิธีพิเศษ จะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาสู้ ซึ่งแม้จะหาทางได้เปรียบในกลไกการเลือกตั้ง แต่ผลที่ออกมาฝ่ายอำนาจนิยม จะพ่ายแพ้ต่อ ฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยมทุกคราว” พล.อ.ประวิตร ระบุ
พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ความรู้ ความสามารถของกลุ่มอิลิท ทำให้ประชาชนศรัทธาได้ไม่เท่ากับนักการเมือง ที่คลุกคลีกับชาวบ้านจนได้รับความรัก ความเชื่อถือมากกว่า นี่คือต้นตอของปัญหาที่สร้างความขัดแย้ง ขยายเป็นความแตกแยก ระหว่างฝ่ายอำนาจนิยม กับฝ่ายเสรีนิยม ที่หาจุดลงตัวร่วมกันไม่ได้ เพราะพยายามหาทางให้ฝ่ายตัวเอง ชนะอย่างเด็ดขาด-ทำลายอีกฝ่ายให้สิ้นสูญ กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ กระทบต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ ซึ่งจากประสบการณ์ของผมที่ผ่านการเห็น การรู้ การฟังทั้งชีวิต อย่างเข้าถึงจิตวิญญาณอนุรักษ์นิยม และเข้าใจประชาธิปไตยเสรีนิยม ที่มีผลต่อโครงสร้างอำนาจของประเทศ ผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟังถึงรายละเอียดในแต่ละช่วงชีวิต เพื่อให้ได้เห็นภาพได้ชัดขึ้น และจะชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง จากนั้นจะบอกให้รู้ว่า ทำไมผมถึงเชื่อมั่นว่า ผมทำได้ และจะทำอย่างไร หากประชาชนให้โอกาสผม
“สุดท้ายนี้ขอบอกกล่าวให้รับรู้โดยทั่วว่า จดหมายทุกฉบับเขียนขึ้นโดยทีมงานที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญมาช่วยกันกลั่นกรองสาระสำคัญที่ผมต้องการนำเสนอต่อสังคม เพื่อเป็นทางออกของบ้านเมือง เช่นเดียวกับตอนที่ผมเป็นผบ.ทบ. ก็มีคณะเสนาธิการทหาร คอยช่วยเหลืองาน ดังนั้น เมื่อก้าวมาเป็นนักการเมือง ผมก็มีเสนาธิการฝ่ายการเมืองมาเป็นกำลังสำคัญเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เนื้อหาของจดหมายทุกฉบับ ที่จะเกิดขึ้นผ่านการตรวจทานจากผมแล้ว และผมขอรับผิดชอบทุกตัวอักษร” พล.อ.ประวิตร ระบุ.-สำนักข่าวไทย