รัฐสภา 16 ก.พ.-“พิพัฒน์” รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา แจงไทยเป็นชาติแรกที่เก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวเพื่อซื้อประกันให้ ยันตลอด 3 ปีกว่าพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน 272 แห่ง
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ชี้แจงต่อการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 กรณีการเก็บเงินค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวจำนวน 300 บาทว่า เรื่องนี้ออกเป็นพ.ร.บ.ในเดือนพฤษภาคมปี 2562 แต่ยังไม่ได้นำเข้าสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เนื่องจาก อยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตนได้นำเรื่องนี้เข้าสู่ ครม.และครม.ได้อนุมัติ ซึ่งการเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยว เก็บใน 2 อัตราคืออัตรามาทางอากาศ เก็บคนละ 300 บาท ส่วนเดินทางเข้ามาทางบกคนละ 150 บาทเฉพาะผู้ที่ถือหนังสือเดินทางที่เป็นพาสปอร์ตเท่านั้น ส่วนใครที่ถือบอเดอร์พาส หรือบัตรแรงงานเข้าเช้า-ออกเย็น หรือเป็นข้าราชการอยู่ด่านชายแดนก็จะยกเว้นไม่ได้เก็บค่าธรรมเนียม
ส่วนรายได้ที่มาจากการเก็บค่าธรรมเนียมประมาณ 20% จะทำการซื้อประกันให้กับนักท่องเที่ยวโดยเป็นการประกันอุบัติเหตุจำนวน 500,000 บาท ประกันชีวิตจำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่เก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยว แต่ถ้าเราทำเรื่องนี้ได้ ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศแรกที่เก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวเพื่อซื้อประกันอุบัติเหตุและประกันชีวิตให้นักท่องเที่ยว ส่วนที่เหลืออีก 80% เป็นการนำไปทำภารกิจที่เกี่ยวกับการดูแลแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ โดยจะทำให้นักท่องเที่ยวทุกช่วงวัยเข้าแหล่งท่องเที่ยวได้
ดังนั้น การเก็บเงิน 300 บาทมีที่มาที่ไป และที่สำคัญที่สุดเมื่อมีเงินเหลือ ก็จะกันไว้ส่วนหนึ่งสำหรับเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น การแพร่ระบาดของโควิด 19 กระทรวงไม่สามารถที่จะมีเงินสำรองเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการทั้ง 12 สาขาที่อยู่ภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยว หากเรามีเงินในส่วนนี้ ก็เป็นการรับประกันว่าเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินก็สามารถนำเงินตรงนี้มาใช้จ่ายได้
ส่วนที่มีประเด็นคำถามว่าประเทศไทยมีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวหรือไม่ นายพิพัฒน์ ชี้แจงว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีกว่าที่ตนทำงาน มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนถึง 272 ชุมชน โดยอบรมสัมมนาวิธีการจัดการและดูแลนักท่องเที่ยว รวมถึงการหารายได้จากนักท่องเที่ยว
ส่วนที่มีการถามว่า ทำไมเราต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวเพียงชาติใดชาติหนึ่ง ตนคิดว่า คงหมายถึงประเทศจีนว่า เราจะรอคนในประเทศจีนประเทศเดียวไม่ได้ เรามีรายได้จากนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ 2 ล้านล้านบาท เรามีรายได้จากคนไทยเที่ยวในประเทศไทยประมาณ 1 ล้านล้านบาท
เราพยายามเจาะนักท่องเที่ยวทุกภูมิภาคในโลกนี้ แต่ที่ให้ความสำคัญมากที่สุดคือพี่น้องในภูมิภาคอาเซียน คือเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้ประเทศไทยการเดินทางไม่ได้ใช้เวลานาน และมีความพยายามที่จะให้นักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ปัจจุบันปี 2565 เรามีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 1.46 ล้านล้านบาท มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 11.6 ล้านคน มีการท่องเที่ยวภายในประเทศประมาณ 223 ล้านคน นั่นหมายความว่ามีรายได้ใกล้เคียงตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดคือ1.5 ล้านล้านบาท แต่เป้าหมายแรกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ตั้งเป้าหมายไว้ 1.28 ล้านล้านบาท จึงต้องขอบคุณคนไทยที่ทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในบ้านเรามากขึ้น
ส่วนการสร้างสะพาน 2 เส้นคือข้ามเกาะลันตาช่วงที่ 2 และมีการเชื่อมทะเลสาบสงขลาระหว่างจังหวัดพัทลุงและจังหวัดสงขลา นายพิพัฒน์ กล่าวว่า เมื่อมีการพัฒนาการสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ตนก็ได้มีการนำเรื่องเข้าสู่การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา (ททช.)เพื่อพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบเพื่อให้เกิดความยั่งยืนเพื่อให้เกิดความการท่องเที่ยวชุมชน หากว่าเราพัฒนาเสร็จอย่างน้อย 142 ท้องถิ่น ตนคิดว่า เราก็จะพัฒนาเรื่องของแหล่งท่องเที่ยวชุมชนอีกต่อไปได้
สำหรับเป้าหมายการท่องเที่ยวในอีก 5 ปีข้างหน้า คือในปี 2570 เราต้องมีนักท่องเที่ยวและมีรายได้ไม่น้อยกว่า 25% ของ GDP ในขณะนั้น ก็น่าจะเป็นรายได้ประมาณ 5 ล้านล้านบาท ก็จะประกอบด้วยรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 4 ล้านล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวในไทยประมาณ 1 ล้านล้านบาท และก็จะเกิดสิ่งที่จะตามมาคือเราจะเกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 10 ล้านตำแหน่ง.-สำนักข่าวไทย