รัฐสภา 16 ก.พ. – “อาคม” ชี้หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น เหตุเยียวยาประชาชนช่วงโควิด ย้ำครึ่งหนึ่งมีมาตั้งแต่โบราณ โต้ฝ่ายค้านอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไม่ต่ำสุดในอาเซียน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงต่อการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจว่า ในช่วงโควิด-19 มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินงบประมาณ แต่ไม่สามารถดึงจากงบประมาณปกติได้ ส่วนการแบ่งเงินที่นำมาใช้ มีเพียงแหล่งเดียว คือ การกู้เงิน โดยได้ออก พ.ร.ก.มาแก้ไข เป็นเงิน 1.5 ล้านล้านบาท ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมากกว่าภาวะปกติ เพราะต้องเร่งนำมาช่วยเหลือเยียวยาประชาชน
นอกจากนี้ ยังมี พ.ร.ก.ที่เกี่ยวกับซอฟต์โลน ไปช่วยเรื่อง SME ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกับประชาชน ย้ำว่าในช่วงโควิดจำเป็นต้องพยุงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะเป็นบทบาทหน้าที่ในภาวะที่ไม่ปกติ ซึ่งนโยบายการคลังและการเงินจะต้องประสานกัน ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นโยบายการเงินผ่อนคลาย ให้บทบาทภาครัฐใช้งบประมาณแผ่นดินแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แต่เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายก่อน นโยบายก็ต้องเข้าสู่สภาวะปกติ
ดังนั้น ช่วงไตรมาส 3-4 ของปีที่แล้ว จะเริ่มเห็นนโยบายการใช้เงินมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ในเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจที่ถูกกล่าวหาว่าเติบโตช้าที่สุดในอาเซียน ยืนยันว่าไม่ได้ต่ำกว่าทุกประเทศ สิงคโปร์ก็ยังต่ำกว่าประเทศไทย มองว่า ปัญหาเงินเฟ้อและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ มาจากปัจจัยการสู้รบรัสเซีย-ยูเครน
“นโยบายการเงินก็เริ่มทำงาน ต้องดูเสถียรภาพของค่าเงิน การใช้อัตราดอกเบี้ยในการเป็นเครื่องมือ อย่างที่เรียนว่า ปีที่แล้วเกือบทุกประเทศประสบปัญหาเงินเฟ้อ” นายอาคม กล่าว
อย่างไรก็ตาม เรื่องการช่วยเหลือของนโยบายการเงินดูแล คงจะต้องดูแลปัจจัยอื่นไปด้วย เช่น การใช้จ่าย ในช่วงดอกเบี้ยมีอัตราขึ้นจะต้องดูว่าเป็นภาระกับใครบ้าง แน่นอนว่ากระทบภาคธุรกิจและรัฐบาล ย้ำว่าหนี้สาธารณะครึ่งหนึ่งเป็นหนี้สาธารณะที่สะสมมาตั้งแต่โบราณแล้ว ตนอยากชี้แจงว่า การก่อหนี้สาธารณะ 70% เป็นไปเพราะเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค มีบางส่วนต้องไปชำระหนี้เมื่อปี 2540. – สำนักข่าวไทย