รัฐสภา 29 พ.ย.- สภาจัดเสวนากติกาเลือกตั้งใหม่ ใครได้ประโยชน์ “อภิสิทธิ์ -สมชัย-เจษฎ์”ไม่ฟันธงผลคำวินิจฉัย ศาล รธน. ปม ร่างกฎหมายลูกเลือกตั้ง ส.ส.ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ชี้ เนื้อหาไม่ชัดสร้างปัญหาพรรคการเมืองได้เปรียบเสียเปรียบ พร้อมค้านรัฐบาลออกพ.ร.ก. หากศาลรธน.ชี้ขัดรธน.
ผู้สื่อข่วรายงานว่า สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ประเทศไทย จัดโครงการพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมและการสื่อสารทางการเมืองเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อสถาบันนิติบัญญัติ พร้อมเวทีเสวนา เรื่อง กติกาเลือกตั้งใหม่ ใครได้ประโยชน์ โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี , นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และอดีตโฆษกคณะกรรมาธิการ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. , นายเจษฎ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย เข้าร่วมเสวนาในครั้งนี้
โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงแนวทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ว่า ไม่อยากคาดเดา เพราะเนื้อหาในร่างฯว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มีทั้งส่วนที่ขัดและไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ แต่หากจะราบรื่นที่สุดคือชี้ว่าไม่ขัดแล้วเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง แต่คำวินิจฉัยต้องมีความชัดเจน เพราะหลายเรื่องที่เป็นปัญหาในปัจจุบัน เนื่องจากไม่มีการถกเถียงมาตั้งแต่ต้น เช่นการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก่อนร่างฯต้องมีโจทย์ว่าจะแก้ปัญหาอะไร ยกตัวอย่าง รัฐธรรมนูญ 40 ถูกออกแบบมาให้พรรคการเมืองกับรัฐบาลเข้มแข็ง , ส่วนรัฐธรรมนูญ 50 ให้มีองค์กรอิสระควบคุม แต่ รัฐธรรมนูญ 60 ตั้งใจให้พรรคการเมืองเป็นเบี้ยหัวแตก และการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อบิดเบี้ยว ดังนั้นทางแก้ปัญหาคือ ต้องให้ ส.ส.ในสภาฯยืดหยุ่น และการคำนวณต้องเที่ยงตรง
ทั้งนี้แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยว่า ร่างดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ใช้ทางออกด้วยการให้รัฐบาลออก พ.ร.ก.เพื่อแก้ปัญหา เพราะอำนาจการออกกติกานี้ ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายบริหารเป็นผู้กำหนด
ด้านนายเจษฏ์ เห็นว่า การปรับแต่งระบบเลือกตั้งต้องคิดว่าจะเอาอะไร และต้องคิดอย่างรอบคอบว่าตอบสนองอะไร ถ้าเริ่มแบบนี้จะทำให้เห็นภาพ และถ้าเห็นว่าร่างนั้นไม่สมบูรณ์ สภาฯต้องมีหน้าที่แก้ไข แต่ที่ผ่านมาสภาฯกลับไม่แก้ไข จนเกิดปัญหา คือ วาระแรกเอาสูตรหาร 100 วาระสองเอาสูตรหาร 500 และวาระ 3 ตัดสินใจไม่ได้ จึงต้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญถ้าบอกว่าขัด ก็อาจจะบอกว่า ขัดรายมาตราใดบ้าง แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ และสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญเองจะสามารถบอกได้ไหมว่า เพราะรัฐธรรมนูญขัดกันเองจึงต้องไปแก้ที่รัฐธรรมนูญ
ขณะที่นายสมชัย มองว่า พรุ่งนี้(30 พ.ย.) ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิฉัย ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ผ่านเหมือนกับร่างพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าพรรคการเมือง ซึ่งเมื่อผ่าน ก็ดำเนินการต่อไปสู่การเลือกตั้ง หรืออาจตัดสินเหมือนกันในเชิงเนื้อหา คือ ร่างพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เป็นกฎหมายที่เอื้อกับพรรคเล็กและพรรคใหญ่ทำงานลำบาก นั้นก็คือ ไม่ผ่าน เพราะถ้าผ่านพรรคการเมืองขนาดใหญ่ก็จะได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างแท้จริง อย่างพรรคเพื่อไทยจะได้บัญชีรายชื่ออย่างน้อย 30 คน ขึ้นไป
นายสมชัย ยังเสนอแนวทางให้นายกรัฐมนตรี ว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ร่างพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ไม่ผ่าน สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เชิญ กกต.มาหารือว่าจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร และต้องเสนอร่างกฎหมายใหม่โดยคณะรัฐมนตรี ในทันที และเป็นหน้าที่ของสภาฯต้องเร่งพิจารณาร่างกฎหมายให้เร็วที่สุดภายใน 180 วัน แต่ถ้าสภาทำไม่เสร็จ ก็ต้องหาทางออก เช่น พ.ร.ก.หรือออกเป็นคำสั่งประกาศ แต่ถ้าวาระ1 รับหลักการแล้ว ก็เอาร่างในวาระหนึ่งมาใช้เป็นกติกาการเลือกตั้ง. สำนักข่าวไทย