ทำเนียบรัฐบาล 7 พ.ย. – นายกฯ ต้อนรับเอกอัครราชทูตสหรัฐ ชื่นชมปีนี้สัมพันธ์สองประเทศครบ 190 ปี พร้อมหนุนบทบาทระหว่างกันอย่างสร้างสรรค์ทั้งในภูมิภาคและอนุภูมิภาค ขณะทูตสหรัฐชื่นชมการเตรียมการจัดประชุมเอเปค
นายรอเบิร์ต เอฟ. โกเด็ก (Mr.Robert F. Godec) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ ที่ในปีนี้จะครบรอบ 190 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สหรัฐ พร้อมชื่นชมเอกอัครราชทูตฯ เชื่อมั่นว่าจะนำความรู้และประสบการณ์มาสนับสนุนความสัมพันธ์และความร่วมมือไทย-สหรัฐ เป็นอย่างดี
นายกรัฐมนตรีฝากความปรารถนาดีไปยังประธานาธิบดีไบเดน ซึ่งเข้าใจดีถึงเหตุผลที่ประธานาธิบดีไบเดนไม่สามารถเดินทางร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่กรุงเทพฯ แต่คาดว่าจะได้พบกันระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กัมพูชา ทั้งนี้ รัฐบาลไทยพร้อมให้การต้อนรับนางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี ที่จะเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค
เอกอัครราชทูตสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐอย่างมาก และตั้งใจทำงานเพื่อจะกระชับความสัมพันธ์ทุกระดับให้แน่นแฟ้น ทั้งรัฐบาลต่อรัฐบาล ธุรกิจต่อธุรกิจ ประชาชนต่อประชาชน และพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานของไทยจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสการครบครอบ190 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สหรัฐ ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ชื่นชมนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทยในจัดเตรียมการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ซึ่งจัดเตรียมได้อย่างเรียบร้อยเหมาะสม รวมไปถึงการกำหนดหัวข้อหลักของการประชุมด้วย
ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกัน โดยนายกรัฐมนตรีสนับสนุนความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG เช่น การขยายการลงทุนของภาคเอกชนสหรัฐ และการเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และความร่วมมือด้านพลังงานและเทคโนโลยีสะอาด ทั้งนี้ ไทยและสหรัฐยืนยันสนับสนุนบทบาทอย่างสร้างสรรค์ระหว่างกันในภูมิภาคและอนุภูมิภาค โดยพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากกลไกความร่วมมือต่างๆ ที่มีอยู่ เช่น อาเซียน ACMECS และ Mekong-US Partnership รวมทั้งกลไกที่สหรัฐริเริ่มขึ้น เช่น กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF)
เอกอัครราชทูตฯ ได้ขอบคุณและชื่นชมนายกรัฐมนตรีที่ได้ใช้ความรู้และประสบการณ์ของไทยในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนเมียนมา ผ่านทั้งช่องทางทวิภาคี กรอบอาเซียน และองค์การระหว่างประเทศ.-สำนักข่าวไทย