กทม. 3 พ.ย.- รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น แจ้ง “ผู้ว่าฯ-นภอ.-อปท.” รับทราบแนวปฏิบัติ หลัง กกต.ไฟเขียวผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น ช่วยผู้สมัคร ส.ส.-พรรคการเมือง หาเสียงช่วง 180 วันได้ แต่ต้องระวังการเป็น จนท.ของรัฐ ใช้ตำแหน่งหน้าที่-ทรัพยากรรัฐ ช่วยเหลือโดยมิชอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้านี้ นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มีหนังสือหารือเรื่องแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส. 2566 มายังเลขาธิการ กกต. โดยเป็นการขอความชัดเจนว่าในช่วง 180 วัน ก่อนสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 23 มีนาคม 2566 นั้น ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น เลขานุการสภาท้องถิ่น ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 78 วรรคหนึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 ที่ห้ามใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ในการช่วยเหลือผู้สมัคร พรรคการเมืองในการหาเสียงเลือกตั้งหรือไม่ และถ้าไปช่วยผู้สมัครหรือพรรคการเมืองหาเสียงเลือกตั้งโดยส่วนตัว ไม่ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ นอกเวลาราชการ ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐ จะสามารถทำได้หรือไม่เพียงไร
ทั้งนี้ สำนักงาน กกต. โดยนายนายกิตติพงษ์ บริบูรณ์ รองเลขาธิการรักษาการแทนเลขาธิการ กกต.ได้มีหนังสือตอบข้อหารือดังกล่าวกลับไป เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ระบุว่าผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว อาจเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 78 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 หากเข้าลักษณะตามหลักเกณฑ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2543 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์ “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” ไว้หมายถึง
- ได้รับแต่งตั้งหรือเลือกตั้งตามกฎหมาย
- มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการหรือหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายและปฏิบัติงานประจำ
- อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐ
- มีเงินเดือนค่าจ้างหรือค่าตอบแทนตามกฎหมาย
โดยผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว สามารถช่วยเหลือผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองหาเสียงเลือกตั้งเป็นการส่วนตัว และนอกเหนือเวลาราชการได้ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้ขัดต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 และต้องเป็นไปตามกฎหมาย รวมทั้งระเบียบที่เกี่ยวข้องเฉพาะตำแหน่งดังกล่าว
โดยเมื่อวานนี้ (2 พ.ย.) นายศิริวัฒน์ รองอธิบดี ซึ่งปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ได้มีหนังสือแจ้งแนวทางการปฏิบัติดังกล่าวไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อแจ้งต่อนายอำเภอทุกอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งทราบ. –สำนักข่าวไทย