ทำเนียบรัฐบาล 25 ต.ค.- โฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ ติดตามสถานการณ์น้ำใกล้ชิด สั่งเร่งระบายน้ำ พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจสาเหตุ แผนปฏิบัติการสำรวจความเสียหาย บรรเทาความเดือดร้อนทุกพื้นที่
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจสอบ ติดตาม สั่งการเรื่องสถานการณ์น้ำในประเทศอย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งระบายน้ำ พร้อมประชาสัมพันธ์ ทำความเข้าใจถึงสาเหตุน้ำท่วม ระบบการระบายน้ำให้ประชาชนเข้าใจ โดยตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญอิทธิพลจากพายุดีเปรสชั่นและร่องมรสุมหลายลูกด้วยกัน ส่งผลกระทบให้มีพื้นที่ประสบอุทกภัยแล้วในหลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยปริมาณฝนสะสมทั้งประเทศ (1 มกราคม – 22 ตุลาคม) ในปี 2565 เฉลี่ยสะสม 1,755 มม. มีปริมาณน้อยกว่าในปี 2554 เล็กน้อย (-0.2%) ซึ่งเฉลี่ยสะสมที่ 1,778 มม.
“เกณฑ์การบริหารจัดการเขื่อนเจ้าพระยา เพื่อความปลอดภัยของเขื่อนและให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด ได้ดำเนินการ ดังนี้ 1. ควบคุมระดับน้ำหน้าเขื่อนเจ้าพระยา +17.50 ม. ถึง +17.70 ม. ระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) เพื่อลดการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 2. เพิ่มการรับน้ำเข้าคลองฝั่งตะวันออก และลดการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักฯ เพื่อลดระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักก่อนลงสมทบแม่น้ำเจ้าพระยา 3. ลดการรับน้ำเข้าคลองฝั่งตะวันตก เพื่อเร่งสูบน้ำออกจากพื้นที่ในทุ่ง หรือบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำ ก่อนออกอ่าวไทย และ4. ควบคุมปริมาณน้ำสถานี C.29A (บางไทร) ประมาณ 3,000 ลบ.ม./วินาที เพื่อบริหารความเสี่ยง ปริมาณน้ำไม่เกิน 3,500 ลบ.ม./วินาที” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
นายอนุชา กล่าวว่า สาเหตุที่ระบายออกฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกได้น้อยในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากต้นคลองใหญ่ ส่วนปลายคลองเล็ก ซึ่งต้นคลองไม่มีปัญหา แต่ปลายคลองมีน้ำท่วมอยู่แล้วจากปริมาณฝนตกในพื้นที่ รวมทั้งมี side flow มาเติม ทำให้เกิดน้ำล้นคลองและคันคลองขาด ไม่สามารถใช้ในการควบคุมน้ำได้ โดยคลองชัยนาท–ป่าสัก มีความจุคลองที่ต้นคลอง 210 ลบ.ม./วินาที ส่วนปลายคลอง 120 ลบ.ม./วินาที จึงจำเป็นต้องเร่งระบายน้ำลงด้านท้ายของลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น ทำให้เกินศักยภาพของคันกั้นน้ำที่มีอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลให้บางจุดเกิดน้ำล้น / คันขาด
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายหลังน้ำลด กองอำนวยการน้ำแห่งชาติจะประเมินและชี้เป้าพื้นที่ที่ระดับน้ำลดลง และแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือในพื้นที่ อำนวยการ และประสานการปฏิบัติงานกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อร่วมกันควบคุมป้องกัน แก้ไข ระงับหรือบรรเทาผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ รวมทั้งดำเนินการฟื้นฟู จัดทำแผนชี้เป้าพื้นที่น้ำลด จัดทำแผนการระบายน้ำและเร่งสูบน้ำ และจัดทำแผนการจัดสรรน้ำเพื่อการเพาะปลูกในพื้นที่น้ำท่วม
“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ประเมินสถานการณ์ ศึกษา เพื่อสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ป้องกัน บรรเทา และลดผลกระทบที่จะเกิดจากปัญหาอุทกภัยอย่างทันท่วงที ซึ่งนายกรัฐมนตรีติดตามแผนการระบายน้ำและสถานการณ์น้ำท่วมจากพายุและร่องมรสุมต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องน้ำประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจถึงสาเหตุ และแผนปฎิบัติการระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญที่สุดคือการเร่งดูแล และให้ความช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนในทุกพื้นที่ที่ประสบเหตุน้ำท่วมอยู่ในขณะนี้” นายอนุชา กล่าว.-สำนักข่าวไทย