ชัวร์ก่อนแชร์: รู้ทันกับดักความลำเอียงของสื่อ (Media Bias)

ขึ้นชื่อว่าสื่อ เราอาจจะคิดว่าต้องเป็นกลาง และรายงานแต่ข้อเท็จจริงโดยไม่มีการตัดสินเลือกข้างใด ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัตินั้น ทำได้ยาก เนื่องจากข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้สื่อไม่อาจนำเสนอข่าวรอบด้านได้ บทความต่อไปนี้จึงอธิบายให้เห็นโดยสังเขปว่า สื่อไม่มีความเป็นกลางอย่างไร และจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังโดนชักนำอยู่


Media Bias คืออะไร ?

ไบแอส คือ อคติ หรือความลำเอียง ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถมีกันได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นกับคนที่เรารักเราชอบ พรรคพวกเราเอง เวลาจะตัดสินความชอบธรรมอะไร เราอาจจะมีไบแอสแฝงอยู่บ้าง เช่นวลีชื่อดังที่เราได้ยินตามข่าวบ่อย ๆ ว่า “ลูกชั้นเป็นคนดี” ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อพิจารณาถึงธรรมชาติของมนุษย์ เราจึงต้องมีคนกลางคอยตัดสินอยู่เสมอ คือพวกที่ไม่ฝักฝ่ายใด หรือศาลนั่นเอง


ซึ่งพอคำนี้มารวมอยู่กับสื่อ มันก็จะหมายถึง อคติของสื่อ คือการที่สื่อรายงานข้อมูลแบบไม่เป็นกลาง จนไม่เป็นไปตามมาตรฐานและจริยธรรมของการสื่อข่าว เราจะเห็นได้ชัดกับเรื่องเกี่ยวกับการเมือง และบางสื่ออาจจะแสดงออกให้เห็นชัดเจนเลยว่าตนฝักใฝ่ฝ่ายไหน ซ้ายหรือขวา เขาก็จะเล่าข่าวเอนเอียงไปทางนั้น
ทั้งนี้ สื่อประเภทนี้มักไม่น่ากลัวเท่าประเภทที่ทำทีว่าจะนำเสนอว่าเป็นกลาง แต่ไม่เป็นกลาง ก็คือประเภทที่แอบใส่ความลำเอียงลงไปนั่นเอง จนบางทีผู้เสพสื่อทั้งหลายก็อาจจะคิดไม่ถึง และโดนชักจูงไปโดยไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน


เพราะฉะนั้นบทความต่อไปนี้จะเป็นการบอกกล่าว ว่าวิธีที่สื่อใช้ในการนำเสนอข่าวแบบใส่อติลงไปด้วย เป็นอย่างไร เพื่อที่ผู้อ่านจะได้ใช้วิจารณญานในการรับฟังอย่างทันท่วงที โดยไม่ไหลไปกับเจตนาของสื่อ

การลำเอียงโดยการละเว้น

คือการที่สื่อนำเสนอข้อเท็จจริงไม่รอบด้าน นำเสนอเพียงแค่ฝั่งเดียว จนส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เสพข่าวในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น การที่สื่อนำเสนอเรื่อง ผลกระทบของการเล่นวิดีโอเกมในเด็กวัยรุ่น
สื่ออาจจะนำเสนอแต่ข้อเสีย ด้านแย่ ๆ ของวิดีโอเกม จนมันตกเป็นจำเลยของสังคมเวลาเด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือมีกระทำความรุนแรงได้ ทั้งที่จริงแล้ว ข้อดีมันก็มีอยู่บ้าง เช่นการสนับสนุน E-sport หรือการช่วยฝึกสมองเป็นต้น เพียงแต่ข้อเท็จจริงเหล่านี้ ผู้ปกครองอาจจะเข้าไม่ถึง เนื่องจากสื่อละเว้นในการนำเสนอนั่นเอง


การลำเอียงโดยการเลือกอ้างอิง

การที่สื่อจะนำเสนอข้อเท็จจริงต่าง ๆ สื่อก็ต้องมีแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ว่าข้อมูลนั้นน่าเชื่อถือ เช่น มีการยกคำของผู้เชี่ยวชาญมาพูด อาจจะใช้ชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงมาเป็นอ้างอิง หรือสัมภาษณ์คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่าง ๆ แต่บางครั้ง เราอาจต้องลองสังเกตดูว่า สื่อจงใจเลือกแต่แหล่งอ้างอิงที่สนับสนุนแต่ฝ่ายของตนเองหรือไม่

เวลาที่สื่อใช้คำว่า “ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า” “ผู้เห็นเหตุการณ์แจ้งว่า” หรือ “คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า”
อาจเป็นเพียงสิ่งที่สื่อคัดมาให้สอดคล้องกับฝั่งของตนเอง เช่น ถ้าสื่อจะนำเสนอเรื่อง “ผลกระทบของวิดีโอเกม” แล้วสื่อมีไบแอสในด้านแย่ ๆ ของเกมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สื่ออาจจะไปเล็งสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมความรุนแรงในเด็กเท่านั้น เพื่อมาสนับสนุนประเด็นของตนเอง หรือ สื่ออาจใช้วิธีคัดเฉพาะ quote หรือคำพูดที่ไปในทิศทางเดียวกับข้อเท็จจริงที่จะนำเสนอเท่านั้น

การที่จะแยกความลำเอียงตรงนี้ สามารถทำได้โดยการสังเกตว่า อ้างอิงที่สื่อยกมา โดยพื้นเพแล้วเป็นพวกไหน ฝ่ายไหน หรือมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งอย่างไร แล้วผู้อ่านก็จะเริ่มข้าใจได้ว่า ข้อเท็จจริงที่ยกมามีแนวโน้มที่จะเอนเอียงไปทางฝ่ายของเขาอยู่หรือเปล่า

การลำเอียงโดยการจัดตำแหน่ง วางลำดับความสำคัญ

บางครั้งสื่อก็นำเสนอข้อมูลด้านหนึ่งที่เด่นกว่าอีกด้านหนึ่ง ถึงแม้จะเล่าข่าวทั้งสองด้านก็ตาม ด้านหนึ่งอาจจะเล่าสั้น ๆ ข้อมูลคลุมเครือ ในขณะที่อีกด้าน สื่อนำเสนอได้อย่างละเอียดและเห็นภาพ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ก็คือ พาดหัวข่าวที่เน้นเรียกผู้อ่านให้เข้ามาดูจำนวนมาก หากสังเกตดี ๆ ผู้อ่านจะเห็นว่าบางข่าวจะมีตัวหนังสือเล็ก ๆ ต่อท้ายเพื่อขยายความ ซึ่งอาจจะเป็นคนละประเด็นกับพาดหัว ซึ่งสำหรับผู้อ่านบางท่านอาจจะเข้าใจผิดไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากไม่ได้อ่านเนื้อหาข้างในให้ละเอียดถี่ถ้วน

การลำเอียงโดยเทคนิคการใช้คำพูดที่สื่อถึงอารมณ์

การใช้ภาษาในการบรรยายข่าวที่กระตุ้นอารมณ์ผู้อ่านมากเกินไป อาจจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด หรือมีความรู้สึกต่อข่าวนั้น ๆ ตามที่สื่อชักนำได้ ยกตัวอย่างเช่น คำว่า ช็อก ตะลึง เศร้า ที่เกริ่นนำมาก่อนเนื้อข่าว คำเหล่านี้ สื่อต้องการให้ผู้อ่าน อ่านแล้วเกิดอารมณ์ความรู้สึกอย่างที่สื่อต้องการให้เราเป็น และส่งผลต่อมุมมองในแง่บวกและแง่ลบของผู้ชมได้
ลองสังเกตว่า สื่อไหนที่ใช้คำที่มันเกินจริง แสดงว่าสื่อนั้นอาจจะต้องการเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกผู้เสพข่าว เช่น สื่ออาจจะชักนำให้เราเห็นใจบุคคลในข่าว หรือในทางกลับกัน ก็อาจจะปลุกปั่นให้เราเกลียดคนในข่าวได้เหมือนกัน ถึงแม้เนื้อหาข่าวที่เล่าจะเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดก็ตาม

การลำเอียงโดยการเสนอความคิดเห็นเป็นข้อเท็จจริง

ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง Opinion กับ Facts แต่บางครั้งผู้อ่านก็สับสน เนื่องจากสื่ออาจจะใช้วิธีแอบใส่ความเห็นส่วนตัวลงไปในข้อเท็จจริงให้ปนกัน ทำให้ผู้อ่านหลงคิดไปว่า ที่นำเสนอมาเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด ทั้งที่จริง ๆ แล้ว มันอาจจะเป็นแค่การคาดคะเน หรือการตีความของผู้สื่อข่าวเองก็ได้

วิธีสังเกตก็คือ ผู้อ่านอาจจะมองหาคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ที่สื่อเสริมขึ้นมาเองโดยไม่มีเหตุจำเป็น เช่น คำที่ตัดสินได้จากอารมณ์ความรู้สึก การบรรยายบางสิ่งบางอย่าง ว่า ดี ดีมาก/ ชื่อดัง/ อันดับ1 /ที่สุด หรือว่า แย่ /เลวร้าย/หนักหนาสาหัส ซึ่งคำพวกนี้มักจะแทรกได้ง่ายและไม่ชัดเจนจนเกินไป แต่ก็มีผลกระทบกับการตัดสินของผู้เสพข่าวได้เช่นกัน

ที่มา: Allsides / “How to Spot 12 Types of Media Bias”

เรียบเรียงโดย: ชณิดา ภิรมณ์ยินดี


ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย