ชัวร์ก่อนแชร์: ภูมิคุ้มกันธรรมชาติดีกว่าวัคซีน จริงหรือ?

6 เมษายน 2565
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย: Factcheck.org (สหรัฐอเมริกา)
แปลและเรียบเรียงบทความโดย: พีรพล อนุตรโสตถิ์, อดิศร สุขสมอรรถ


ประเภทข่าวปลอม: ทำให้เข้าใจผิด

บทสรุป:


  1. เป็นการอ้างผลวิจัยก่อนการระบาดของไวรัสโอไมครอน และก่อนการอนุมัติการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
  2. งานวิจัยเบื้องต้นหลายชิ้นยืนยันว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นป้องกันการติดเชื้อดีกว่าภูมิคุ้มกันธรรมชาติ

ข้อมูลที่ถูกแชร์:

มีข้อมูลบิดเบือนเผยแพร่ทางสื่อโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกา โดย แรนด์ พอล วุฒิสมาชิกรัฐเคนตักกี จากพรรครีพับลิกัน ให้สัมภาษณ์กับรายการข่าว Fox News เพื่อยืนยันว่าภูมิธรรมชาติจากการติดเชื้อโควิด 19 มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อที่ดีกว่าการฉีดวัคซีน โดยอ้างผลการศึกษาของหน่วยงานป้องกันโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (CDC)

FACT CHECK: ตรวจสอบข้อเท็จจริง:


เป็นจริงที่ว่าภูมิคุ้มกันธรรมชาติมีประสิทธิผลป้องกันติดเชื้อโควิด 19 มากกว่าการฉีดวัคซีนในยุคที่ไวรัสเดลต้าระบาด แต่ในยุคที่ไวรัสโอไมครอนซึ่งมีคุณสมบัติหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันเริ่มระบาดตั้งแต่ปลายปี 2021 ผู้เชี่ยวชาญต่างยืนยันว่าการฉีดวัคซีนบูสเตอร์เป็นเข็มที่ 3 สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่าการมีภูมิคุ้มกันธรรมชาติ

ดีพทา พัททาชาร์ยา นักภูมิคุ้มกันวิทยา จากมหาวิทยาลัย University of Arizona อธิบายว่าระดับภูมิคุ้มกันขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของไวรัส ก่อนการระบาดของไวรัสเดลต้า ระดับของภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อแทบไม่มีความแตกต่างกัน แต่ในยุคที่ไวรัสเดลต้าระบาด ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันธรรมชาติจากการติดเชื้อโควิด 19 มาก่อน จะมีระดับภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA ครบ 2 โดส แม้จะไม่เท่ากับการฉีดเข็มกระตุ้นก็ตาม

แต่ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนครบ 2 โดสหรือเคยติดเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์เดลต้าหรือสายพันธุ์ไหนๆ มาก่อน ภูมิคุ้มกันก็ไม่เพียงพอที่จะป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการจากไวรัสโอไมครอนไปได้ เนื่องจากโอไมครอนเป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างจากโควิด 19 สายพันธุ์อื่นๆ กระนั้น การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 หรือการฉีดวัคซีนหลังการติดเชื้อโควิด 19 จะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโอไมครอนได้อย่างดี โดยเฉพาะป้องกันการป่วยหนักจากการติดเชื้อ

ข้อมูลที่ แรนด์ พอล อ้างว่าภูมิคุ้มกันธรรมชาติป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 ดีกว่าวัคซีน นำมาจากผลวิจัยของ CDC ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 มกราคมปี 2022 ซึ่งเป็นการสำรวจการรักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อโควิด 19 ของประชากรในรัฐนิวยอร์กและแคลิฟอร์เนีย ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนพฤศจิกายนปี 2021 โดยข้อมูลเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนปี 2021 พบว่าอัตราการเสียชีวิตจากโควิด 19 ในนิวยอร์กและแคลิฟอร์เนียคิดเป็นอัตราการเสียชีวิตถึง 1 ใน 6 ของสหรัฐอเมริกา

รายงานพบว่ากลุ่มที่รักษาตัวในโรงพยาบาลมากที่สุด ได้แก่ผู้ไม่ฉีดวัคซีนและไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ไวรัสเดลต้ายังไม่แพร่ระบาด กลุ่มผู้ที่ฉีดวัคซีนได้รับการป้องกันดียิ่งกว่ากลุ่มผู้ติดเชื้อแล้วฉีดวัคซีน และเป็นช่วงที่พบว่าอัตราการติดเชื้อและรักษาตัวในโรงพยาบาลของกลุ่มผู้ฉีดวัคซีนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าประชากรกลุ่มอื่นๆ

แต่ในช่วงเดือนตุลาคมที่ไวรัสเดลต้าระบาดในสหรัฐฯ กลุ่มคนที่เคยติดเชื้อโควิด 19 กลับมีอัตราการติดเชื้อเดลต้าต่ำกว่ากลุ่มคนที่ฉีดวัคซีน เนื่องจากเป็นช่วงที่ประสิทธิผลของวัคซีนเริ่มลดลงและไวรัสเดลต้ามีคุณสมบัติหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า

ผลสำรวจการติดเชื้อในรอบสัปดาห์เมื่อวันที่ 3 ตุลาคมปี 2021 พบว่าเมื่อเทียบกับอัตราการติดเชื้อของกลุ่มผู้ไม่ฉีดวัคซีนและไม่เคยติดเชื้อโควิด 19 มาก่อน กลุ่มผู้ฉีดวัคซีนและไม่เคยติดเชื้อมาก่อนในแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก ติดเชื้อโควิด 19 น้อยกว่า 6 เท่าและ 5 เท่า ส่วนกลุ่มผู้ไม่ฉีดวัคซีนและเคยติดเชื้อมาก่อนในแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก ติดเชื้อโควิด 19 น้อยกว่า 29 เท่าและ 15 เท่า ส่วนกลุ่มผู้ฉีดวัคซีนและเคยติดเชื้อมาก่อนซึ่งมีภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า Hybrid Immunity ทั้งในแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก ต่างติดเชื้อโควิด 19 น้อยกว่าถึง 33 เท่าและ 20 เท่า

ผลการสำรวจแสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของภูมิคุ้มกันธรรมชาติ แต่ผลสำรวจดังกล่าวยังไม่ได้ศึกษาถึงประสิทธิผลที่ภูมิคุ้มกันธรรมชาติมีต่อไวรัสโอไมครอน และยังไม่มีการเปรียบเทียบกับภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นอีกด้วย

งานวิจัยเบื้องต้นจากนักวิจัยของสถาบัน Ragon Institute โดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Harvard University, Massachusetts Institute of Technology และ โรงพยาบาล Massachusetts General Hospital ยืนยันว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นป้องกันการติดเชื้อโอไมครอนได้ดีกว่าภูมิคุ้มกันธรรมชาติ

โดยงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ที่วารสารการแพทย์ Cell เมื่อวันที่ 23 ธันวาคมปี 2021 เป็นการศึกษาจากตัวอย่างเลือดของผู้รับวัคซีนโควิด 19 มากกว่า 200 ราย พบว่าผู้ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นชนิด mRNA จะมีระดับแอนติบอดี้ชนิดลบล้างฤทธิ์ต่อไวรัสโอไมครอนต่ำกว่าไวรัสโควิด 19 สายพันธุ์ดั้งเดิมเพียงเล็กน้อย

อเลฮานโดร บาลาซ์ส นักวิจัยหลักจากสถาบัน Ragon Institute ซึ่งศึกษาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโอไมครอนและโควิด 19 สายพันธุ์อื่นๆ ยืนยันว่ากลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA 3 เข็ม และไม่เคยติดเชื้อโควิด 19 มาก่อน มีระดับแอนติบอดีสูงกว่ากลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันธรรมชาติหรือคนที่เคยติดเชื้อแล้วไปฉีดวัคซีน mRNA 2 เข็มอีกด้วย จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้คนจะพยายามไปติดเชื้อเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันธรรมชาติ

ดร.วิลเฟรโด การ์เซีย เบลทราน นักวิจัยจากสถาบัน Ragon Institute ชี้แจงว่าผู้ที่ได้ฉีดวัคซีนจะมีระดับแอนติบอดี้ชนิดลบล้างฤทธิ์สูงกว่าคนที่เคยติดเชื้อโควิด 19 และไม่เคยฉีดวัคซีน โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อและมีอาการไม่รุนแรงจะมีระดับแอนติบอดี้ชนิดลบล้างฤทธิ์ที่ต่ำมาก

ผลการศึกษาของทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Rockefeller University ซึ่งผ่านการพิชญพิจารณ์ (Peer Review) หรือการประเมินความถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญในแวดวงวิชาการ และตีพิมพ์ทางวารสาร New England Journal of Medicine เมื่อวันที่ 30 ธันวาคมปี 2021 บรรยายถึงการศึกษาพลาสม่าจากกลุ่มตัวอย่าง 47 คน ซึ่งพบว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ครบ 2 โดสหรือผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด 19 แทบจะไม่มีแอนติบอดี้ชนิดลบล้างฤทธิ์ที่สามารถป้องกันการติดเชื้อโอไมครอน แต่กลุ่มที่ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นชนิด mRNA เป็นเข็มที่ 3 หรือกลุ่มที่เคยติดเชื้อโควิด 19 แล้วฉีดวัคซีน จะมีแอนติบอดี้ชนิดลบล้างฤทธิ์ในระดับสูง

พอล บีเนียสซ์ นักไวรัสวิทยาและนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Rockefeller University ชี้แจงว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นไม่เพียงกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันที่ลดลงหลังจากฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 แต่ยังยกระดับการทำงานของแอนติบอดีและเซลล์ความทรงจำในระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการติดเชื้อ แม้กับสายพันธุ์ที่ร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันมาก่อน

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเบื้องต้นที่ศึกษาระดับภูมิคุ้มกันธรรมชาติที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโอไมครอนอีกด้วย

งานวิจัยของ Africa Health Research Institute ในประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นผลงานก่อนการตีพิมพ์ (Preprint) ได้ศึกษาพลาสม่าจากกลุ่มตัวอย่าง 15 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ฉีดวัคซีนและไม่ฉีดวัคซีน โดยคนทั้งสองกลุ่มต่างติดเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์โอไมครอน ซึ่้งผู้วิจัยพบว่าระดับแอนติบอดี้ชนิดลบล้างฤทธิ์ต่อไวรัสโอไมครอนและเดลต้าจะเพิ่มขึ้นหลังผู้ติดเชื้อแสดงอาการไปจนถึง 2 สัปดาห์หลังติดเชื้อ ซึ่งผลการศึกษาพบว่ากลุ่มผู้ฉีดวัคซีนจะมีระดับแอนติบอดี้ชนิดลบล้างฤทธิ์ต่อไวรัสเดลต้าที่สูงกว่า ส่วนกลุ่มที่ไม่ฉีดวัคซีนจะมีระดับแอนติบอดี้ชนิดลบล้างฤทธิ์ที่ไม่แน่นอน

ผลการศึกษาของ CDC ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 21 มกราคมปี 2022 ซึ่งเป็นการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนต่อการป้องกันการรักษาตัวในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อโอไมครอนใน 10 รัฐของสหรัฐฯ โดยพบว่า หลังจากฉีดวัคซีน mRNA เข็มที่ 2 เป็นเวลา 6 เดือนหรือนานกว่านั้น ประสิทธิผลของวัคซีนจะลดลงเหลือ 57% แต่เมื่อฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นไปแล้วเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน ประสิทธิผลของวัคซีนจะเพิ่มขึ้นถึง 90% และยังพบว่ากลุ่มผู้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นมีอัตราการติดเชื้อโควิด 19 ต่ำกว่ากลุ่มผู้ไม่ฉีดวัคซีนและกลุ่มผู้ฉีดวัคซีน 2 เข็มอีกด้วย

ข้อมูลอ้างอิง:

https://www.factcheck.org/2022/01/scicheck-studies-show-boosted-immunity-against-omicron-with-booster-doses/

ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ทูน” แจ้งความถูกวัยรุ่นทำร้าย ขณะซื้อของย่านคลองถม

สน.พลับพลาไชย1 11 มิ.ย.- “ทูน หิรัญทรัพย์” อดีตนักแสดงรุ่นใหญ่ แจ้งความ สน.พลับพลาไชย 1 ถูกวัยรุ่นทำร้าย ขณะเดินซื้อของย่านคลองถม อีกฝ่ายอ้างป้องกันตัว นายทูน หิรัญทรัพย์ หรือ นายสพัชญ์นนทน์ อายุ 69 ปี อดีตดารานักแสดงรุ่นใหญ่ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย 1 กรณีถูกวัยรุ่น 2 คน รุมทำร้ายร่างกาย ได้รับบาดเจ็บ ขณะไปเดินซื้อของในซอยข้างคลองถมพลาซ่า เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. ที่ผ่านมา นายทูน เล่าเหตุการณ์ว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองและครอบครัวได้ไปเดินหาซื้อไฟในย่านคลองถม ระหว่างนั้นก็มีผู้คนมาทักทายเพราะเห็นว่าตัวเองเป็นดารา แต่มีวัยรุ่นคนหนึ่งพูดจาไม่น่าฟังบอกว่าดาราอะไรเคยไม่รู้จัก จึงตักเตือนในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ ว่า จะพูดจาอะไรก็ต้องให้เกียรติคนอื่นโดยเฉพาะคนที่อาวุโสกว่า จนเกิดมีปากเสียงกัน จากนั้นวัยรุ่นดังกล่าวก็ชกเข้าที่เบ้าตาขวา ซึ่งเป็นตาข้างที่บอดอยู่ จึงไม่เห็นหมัด ก่อนจะมีตำรวจเข้ามาระงับเหตุ แต่วัยรุ่นคู่กรณีก็ยังทำท่าไม่พอใจฮึดฮัดใส่อยู่ ก่อนจะถูกควบคุมตัวไปที่ สน.พลับพลาไชย ซึ่งตัวเองก็ได้เดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีด้วยเช่นกัน นายทูน กล่าวว่า ตลอดชีวิตที่เป็นนักแสดงนั้นเคยแต่เจอผู้คนเข้ามาทักทาย ขอถ่ายรูป ด้วยความมีมิตรไมตรี […]

พายุ “หวู่ติบ” ไม่เข้าไทย แต่เสริมมรสุม ฝนเพิ่ม คลื่นแรง เตือนระวังน้ำหลาก

กรุงเทพฯ 12 มิ.ย.-ไทยมีฝนตกเพิ่ม โดยพายุ​ “หวู่ติบ” จะส่งอิทธิพลให้ร่องมรสุมพาดผ่านและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น กรมอุตุฯ เตือนประชาชนเฝ้าระวังภัยน้ำหลากและคลื่นลมแรงอย่างใกล้ชิด นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ช่วงวันที่ 12–13 มิถุนายน 2568 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งอันดามัน ได้แก่ ระนอง พังงา จันทบุรี และตราด ซึ่งได้รับอิทธิพลจากร่องมรสุมที่พาดผ่านตอนบนของประเทศ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรง กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศแจ้ง​เตือน​ว่า พายุโซนร้อน “หวู่ติบ” บริเวณทะเลอันดามันตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ห่างจากเกาะไหหลำของจีนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 160 กิโลเมตร มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคลื่อนตัวทางตะวันตกเฉียงเหนือ คาดว่า​ จะขึ้นฝั่งประเทศจีนตอนใต้ในช่วงวันที่ 13-14 มิ.ย.68 และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ แม้ศูนย์กลางพายุจะไม่เข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่พายุนี้เป็นอีกปัจจัยที่เสริมให้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้หลายพื้นที่มีฝนตกหนัก คลื่นลมในทะเลอันดามันตอนบนสูง 2–3 เมตร และในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองอาจสูงมากกว่า 3 […]

ผลแล็บพบข้าวมันไก่ติดเชื้อ ทำครู-นร.ท้องเสีย 23 คน

ปราจีนบุรี 12 มิ.ย. – แม่ค้ามือเป็นแผล! ครู-นักเรียน กินข้าวมันไก่ ท้องเสียยกชั้น หามส่ง รพ. แพทย์ชี้ชัดผลแล็บ พบเชื้อสตาฟิโลคอคคัส ออเรียส ต้นเหตุทำอาหารเป็นพิษ จากกรณีที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมือง จ.ปราจีนบุรี ต้องระดมทั้งรถตู้โรงเรียน และรถฉุกเฉิน เร่งนำตัวนักเรียนและคุณครู ส่งโรงพยาบาล จำนวน 23 คน หลังทุกคนกินข้าวมันไก่ในช่วงพักกลางวัน พอตกบ่ายก็มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน บางรายเป็นไข้หนาวสั่น คาดสาเหตุมาจากอาหารเป็นพิษ ผู้ป่วยถูกนำตัวส่งรักษาอาการที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร รวม 16 คน (นักเรียน 15 คน ครู 1 คน) เบื้องต้น แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วบางส่วนเหลือคุณครูที่ต้องดูอาการเนื่องจากมีอาการช็อก ส่วนนักเรียน ยังคงต้องดูอาการอีก 9 คน ซึ่งคาดว่าแพทย์น่าจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ภายในวันนี้ ส่วนที่ รพ.ค่ายจักรพงษ์ มีจำนวน 7 คน (เป็นนักเรียนทั้งหมด) เบื้องต้น […]

หลุดภาพ​ “ชาดา-สันติ-​นายกด๊อยซ์” สะพัดขน 6 สส. ​ซบ ​“ภท.”

กทม. 11​ มิ.ย. – “ชาดา-สันติ-นายกด๊อยซ์” ร่วมวงกินข้าว หลังสะพัดขน “6 สส.มะขามหวาน” เด็กลุงป้อม ย้ายซบ “ภูมิใจไทย” ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ ภายหลัง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีคำสั่งเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.68 แต่งตั้ง นางจิตรา หมีทอง ซึ่งเป็นทีมงานนายสันติ พร้อมพัฒน์ แกนนำ 6 สส. เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ เป็นคณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และ รมว.มหาดไทย ล่าสุดช่วงเย็น วันที่ 11 มิ.ย. ได้ปรากฏภาพนายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี แกนนำพรรคภูมิใจไทย ได้รับประทานอาหารเย็น ร่วมกับ นายสันติ และ นายอัครเดช ทองใจสด นายก อบจ.เพชรบูรณ์ ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง […]

ข่าวแนะนำ

สยบรอยร้าว “พีระพันธุ์” โพสต์ภาพคู่ “เอกนัฏ” ยัน รทสช.ไปต่อ

กรุงเทพฯ 12 มิ.ย. – “พีระพันธุ์” โพสต์ภาพโชว์ปึก “เอกนัฏ” สยบรอยร้าว ขอบคุณร่วมอดทนต่อสู้ทุนใหญ่ ยัน รทสช.ไปต่อแน่ ป้อง “ทีมสุดซอย” ถูกใส่ร้าย เมื่อเวลา 21.00 น. วันนี้ (12 มิ.ย.68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ภาพถ่ายคู่กับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมข้อความระบุว่า “ผูกพันและเชื่อใจ การที่มีคนกล่าวหาขิงว่าจะไปขอให้มาโค่นทำลายผมจากหัวหน้าพรรค ผมได้แต่ขำ ขิงกับผม เราผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมามาก คำพูดแบบนี้จึงเป็นเรื่องขำๆ ของคนที่คิดคำแก้ตัวไม่ออก ผมกับท่านเลขาฯ ขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เรารู้จักกันมานาน ตั้งแต่ขิงยังไม่เข้ามาวงการเมือง จนมาทำงานการเมืองร่วมกัน ขิงเป็นคนหนุ่มที่มุ่งมั่นทำงานการเมืองเพื่อประชาชน ไม่ใช่มาเล่นการเมือง เป็นคนซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา เมื่อผมจะทำพรรคการเมือง คนแรกที่ผมคิดถึงจึงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ‘ขิง’ ผมหารือกับขิงว่าอยากชวนเขามาทำพรรคการเมืองตามแนวทางที่เราอยากทำอยากให้เป็น คือเป็นพรรคการเมืองที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชน เข้ามาแก้ไขปัญหาทุกอย่างเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อจะมีสถานะหรือมีตำแหน่งทางการเมือง […]

จับตานายกฯ ถกหัวหน้าพรรคร่วมบางพรรค ปรับ ครม.

กรุงเทพฯ 12 มิ.ย. – จับตา “นายกฯ แพทองธาร” ถกหัวหน้าพรรคร่วมบางพรรค ปรับ ครม. หลังเลื่อนประชุม ครม.สัญจร จ.พิษณุโลก 23-24 มิ.ย.นี้ คาดรอ ครม.ใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันพรุ่งนี้ (13 มิ.ย.) ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แจ้งลาราชการในเวลา 11.30-13.00 น. หลังจบภารกิจเป็นประธานในพิธีปิดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 และมีรายงานว่านายกฯ มีภารกิจร่วมประชุมผู้ปกครอง จากนั้นจะกลับมาปฏิบัติงานที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงบ่าย ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายกฯ จะเชิญหัวหน้าพรรคร่วมบางพรรค หารือถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ท่ามกลางกระแสข่าวการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีระหว่างพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย และปัญหาภายในของพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้เกิดความชัดเจน นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้แจ้งเลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร ) ระหว่างวันที่ 23-24 มิ.ย.นี้ ที่ จ.พิษณุโลก ออกไปก่อน […]

เสียงจากช่องบก รอวันสันติภาพ

อุบลราชธานี 12 มิ.ย. – ผ่านมาแล้ว 15 วัน นับตั้งแต่เหตุการณ์ปะทะที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงตึงเครียด แต่ชาวบ้านในพื้นที่ต่างตั้งความหวังว่าการประชุม JBC วันที่ 14 มิ.ย.นี้ จะหาทางออกได้โดยสันติ เพื่อให้ประชาชนทั้งสองประเทศได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ.-สำนักข่าวไทย

แอร์อินเดียพร้อมผู้โดยสาร 242 คน ตกที่สนามบินอาห์เมดาบัด

นิวเดลี 12 มิ.ย. – เครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์ อินเดีย ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังกรุงลอนดอน ของอังกฤษ พร้อมด้วยผู้โดยสาร 242 คน เกิดอุบัติเหตุตก หลังจากที่เพิ่งออกเดินทางจากสนามบินเมืองอาห์เมดาบัด ทางตะวันตกของอินเดีย เพียงไม่กี่นาที แอร์อินเดีย กล่าวว่า เครื่องบินลำดังกล่าวมีกำหนดเดินทางไปยังสนามบินแก็ตวิก ในอังกฤษ ขณะที่ตำรวจกล่าวว่า เครื่องบินตกในบริเวณพื้นที่พลเรือนใกล้กับสนามบิน ไฟลท์เรดาร์ 24 ซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวทางอากาศ กล่าวว่า เครื่องบินลำนี้เป็นเครื่องบินโบอิ้ง 787-8 ดรีมไลเนอร์ ซึ่งเป็นเครื่องบินโดยสารที่ทันสมัยมาก ๆ ที่ให้บริการอยู่ในขณะนี้ โทรทัศน์ของอินเดีย รายงานว่า อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่เครื่องบินกำลังทะยานขึ้นจากสนามบิน ภาพจากโทรทัศน์ช่องหนึ่ง แสดงให้เห็นภาพเครื่องบินออกจากสนามบินและบินอยู่เหนือพื้นที่ย่านพักอาศัยของประชาชน จากนั้นเครื่องบินก็หายไปจากจอ ก่อนที่จะเห็นควันไฟขนาดใหญ่ลอยจากบ้านเรือนประชาชนขึ้นไปบนท้องฟ้า นอกจากนั้น ยังมีภาพประชาชนถูกเคลื่อนย้ายด้วยเปลไปยังรถพยาบาลที่นำผู้ได้รับบาดเจ็บไปโรงพยาบาล ช้อมูลการควบคุมการจราจรทางอากาศที่สนามบินอาห์เมดาบัด ระบุว่า เครื่องบินออกเดินทางเมื่อเวลา 13.39 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ ตรงกับ 15.09 น. ตามเวลาในประเทศไทย จากทางวิ่งหมายเลข 23 เครื่องบินส่งสัญญาณฉุกเฉินขอความช่วยเหลือ แต่หลังจากนั้นก็ติดต่อนักบินไม่ได้อีกเลย.-813.-สำนักข่าวไทย