รพ.เตรียมแจ้งความกลับสาวอ้างทำศพลูกหาย

สุพรรณบุรี 21 พ.ค. – โรงพยาบาลเตรียมแจ้งความกลับสาววัย 21 ปี อ้างทำศพลูกหาย ตรวจสอบไม่พบประวัติการฝากครรภ์และมาคลอดลูกแฝด สงสัย “ท้องทิพย์”


จากกรณีที่โลกออนไลน์มีการวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ที่พ่อของเด็กคนหนึ่งไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก ขณะกำลังเปิดโลงศพลูกที่เสียชีวิต โดยอ้างว่าทางโรงพยาบาลได้นำร่างบรรจุในโลงศพส่งมาให้ พร้อมกำชับไม่ให้เปิดโลง เพราะกลัวติดเชื้อ แต่รู้สึกแปลกใจ จึงลองเปิดโลงตรวจสอบดู กลับพบว่าในโลงมีเพียงผ้าขนหนูและเสื้อผ้า ไม่มีศพลูก สร้างความเสียใจและแปลกใจเป็นอย่างมาก

สอบถามเรื่องนี้กับครอบครัว แม่เด็กให้ข้อมูลก่อนหน้านี้ว่า หมอได้ฉีดยาเร่งคลอด ทำให้เด็กออกมาก่อนกำหนด เมื่อคลอดแล้วก็นำเด็กเข้าตู้อบ ลูกของตนนั้นเป็นแฝด ชาย 1 คน หญิง 1 คน แต่พบว่าเด็กเสียชีวิตไป 1 คน ส่วนอีกคนให้ไปรับทีหลัง แล้วตอนนี้เด็กอีกคนก็หายไปด้วย


ทั้งนี้ หลังจากที่อ้างว่าศพบุตรชายหายไป ทั้งนายเกรียงไกร สุภีทรัพย์ อายุ 30 ปี และ น.ส.กรกนก เพิ่มหิรัญ อายุ 21 ปี ก็ได้ไปลงบันทึกประจำวันที่ สภ.เมืองสุพรรณบุรี ในวันที่ 20 พ.ค.64 เวลา 19.41 น. โดยผู้เป็นแม่ลงข้อมูลกับตำรวจว่า ศพบุตรชายหายไป หลังรับจากโรงพยาบาล เพื่อกลับไปทำการฌาปนกิจ โดยแจ้งว่า เมื่อวันที่ 11 พ.ค.64 คลอดบุตรแฝดชายและหญิง ที่ รพ.บางปลาม้า ต่อมาบุตรฝาแฝดที่เป็นผู้ชาย มีน้ำหนักน้อย ทาง รพ.บางปลาม้า จึงแนะนำให้ส่งมาอบที่ รพ.เจ้าพระยายมราช จนถึงวันที่ 17 พ.ค. ทาง รพ.แจ้งมาว่า เด็กหัวใจเต้นผิดจังหวะและหยุดหายใจ จนมาถึงวันที่ 18 พ.ค. ทาง รพ.แจ้งว่า เด็กเสียชีวิตแล้ว ผู้แจ้งจึงได้มารับศพบุตรชายของตน เมื่อวันที่ 20 พ.ค. เวลา 16.00 น. โดยได้ไปรับที่ชั้น 3 ห้องเด็ก จากนั้นพยาบาลก็นำให้ผู้แจ้งไปรับศพ ซึ่งถูกห่อผ้าอย่างมิดชิด ก่อนจะนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดสวนแตง เมื่อมาถึง ทางพระภิกษุที่นิมนต์ไว้ได้เปิดโลง เพื่อจะโยงสายสิญจน์ เตรียมทำพิธี แต่เมื่อแกะห่อผ้าที่พันมาลักษณะคล้ายมีศพเด็กอยู่ภายใน กลับไม่พบศพบุตรชายของตน จึงเกิดความสงสัยว่า เหตุใดทางโรงพยาบาลไม่นำร่างของบุตรชายมาให้ จึงมาแจ้งความลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และผู้แจ้งทราบอีกว่า รพ.เจ้าพระยายมราช ประสานจะชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 500,000 บาท ขณะที่พ่อแม่ยังติดใจสาเหตุการตาย แต่ประสงค์ที่จะนำศพบุตรของตนมาบำเพ็ญกุศลตามประเพณี จึงมาแจ้งไว้เป็นหลักฐาน เพื่อที่จะประสานกับทางโรงพยาบาลต่อไป

ต่อมา รพ.เจ้าพระยายมราช ได้เชิญพ่อแม่เด็กมาสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และตรวจสอบข้อเท็จจริงไปยัง รพ.บางปลาม้า ซึ่งได้รับการยืนยันว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีการรับทำคลอดเลย และไม่มีการทำเรื่องส่งตัวเด็กมารักษาต่อที่ รพ.เจ้าพระยายมราช อีกทั้งทางโรงพยาบาลก็ไม่มีประวัติการรับผู้ป่วย และประวัติการรักษาแต่อย่างใด

จากนั้นเพื่อความสบายใจ ทาง รพ.เจ้าพระยายมราช ได้ให้พ่อแม่เด็กไปดูกล้องวงจรปิด ในช่วงเวลาที่กล่าวอ้างว่ามารับร่างเด็ก แต่ก็ไม่พบภาพของแม่ที่อ้างว่าขึ้นไปรับศพลูก ที่แผนกกุมารเวช ชั้น 3 ของโรงพยาบาลแต่อย่างใด มีเพียงภาพรถของพ่อเด็กที่ขับวนเข้ามาในโรงพยาบาล ซึ่งบอกว่ามารับภรรยาที่อุ้มร่างลูกมารออยู่ที่ประตูทางออกของโรงพยาบาล และมีแม่เด็กยืนสะพายกระเป๋าอุ้มห่อผ้าอยู่ แล้วเดินขึ้นรถ โรงพยาบาลยังได้ให้ขึ้นไปดูที่ห้องเด็กที่ทางแม่บอกว่า ลูกสาวคู่แฝดอีกคนอยู่ แต่ก็ไม่พบ และไม่มีรายชื่อเด็กหญิงอยู่ในห้องนั้น ส่วนรูปภาพแฝดเด็กหญิงอีกคนที่ทางแม่อ้างว่าได้ให้พยาบาลเข้าไปถ่ายรูปให้ โดยใช้มือถือแม่ถ่าย จากการตรวจสอบพบว่าเป็นรูปจากอินเทอร์เน็ต


วันนี้ (21 พ.ค.) รพ.เจ้าพระยายมราช ได้แถลงข่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยมีนายนพฤทธิ์ ศิริโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี นพ.พงษ์นรินทร์ ชาติรังสรรค์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช นพ.อนุพันธ์ หวลบุตตา รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ และทีมแพทย์ พยาบาล ร่วมแถลง โดย นพ.อนุพันธ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติการเข้ารับการรักษาและคลอดลูก โดยได้ตรวจสอบไปที่ รพ.บางปลาม้า แล้ว พบว่า วันที่ 10 พ.ค. น.ส.กรกนก ได้เดินทางเข้ามารักษาที่ รพ.บางปลาม้า ด้วยอาการปวดท้อง ตกขาว และกระดูกอุ้งเชิงกรานอักเสบ แต่ไม่มีประวัติการฝากครรภ์และมาคลอดบุตรแฝด

ส่วนวันที่ 11 พ.ค. ที่แจ้งว่ามาคลอดลูก ยืนยันวันนั้นไม่มีการทำคลอด และไม่มีเอกสารการติดต่อส่งตัวเด็กเพื่อมารับการรักษาต่อที่ รพ.เจ้าพระยายมราช และที่ รพ.เจ้าพระยายมราช ก็ไม่มีการรับรักษาเด็ก ซึ่งหากการที่แม่กล่าวอ้างเด็กตาย มารับศพที่ชั้น 3 ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะตามระเบียบต้องมารับศพที่ห้องปลายฟ้า ซึ่งก็ไม่พบการมารับศพแต่อย่างใด รวมถึงภาพบางอย่างที่มีการกล่าวอ้าง พบว่าเป็นภาพที่มีในกูเกิลด้วย และการส่งตัวมารักษาต่อนั้น ตามระเบียบต้องมีการส่งเอกสารการตรวจของแพทย์จาก รพ.ต้นทาง มาให้ก่อน และก่อนมาก็ต้องมีการโทรผ่านระบบการส่งต่อ เพื่อทาง รพ.ปลายทาง จะได้ประสานแพทย์ จากนั้นจึงจะแจ้งให้ทาง รพ.ต้นทาง นำรถมาส่ง โดยต้องมีญาติมาด้วยในเหตุฉุกเฉิน และจะมีการลงบันทึกในระบบเวชระเบียน เพื่อบันทึกหลักฐานเก็บไว้

ด้านแพทย์ รพ.บางปลาม้า นพ.วรท สัตยาวุฒิพงศ์ แพทย์เจ้าของไข้แม่เด็ก ยืนยันว่า ผู้หญิงที่อ้างเป็นแม่เด็ก เข้ามารักษาตัวที่ รพ.บางปลาม้า จริง ในวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่เป็นการรักษาอาการติดเชื้อในท่อปัสสาวะ หรืออาการตกขาว และอาการอุ้งเชิงกรานอักเสบ จึงให้ยาฆ่าเชื้อ พร้อมกับตรวจปัสสาวะว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ ก็พบว่าไม่มีการตั้งครรภ์หรือคลอดบุตรมาก่อน จึงให้คนไข้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน

วันที่ 11 พ.ค. หญิงคนดังกล่าวกลับมาอีกด้วยอาการเดิม จึงให้แอดมิทนอนโรงพยาบาล เพื่อดูอาการ จนถึงวันที่ 14 พ.ค. ก็ให้กลับบ้านไป ยืนยันว่าไม่มีการฝากครรภ์ หรือคลอดที่โรงพยาบาลแห่งนี้ และประกอบกับช่วงนี้สถานการณ์โควิด-19 ห้องคลอดโรงพยาบาลปิด และยิ่งเป็นครรภ์แฝด ทางโรงพยาบาลเป็นเพียงโรงพยาบาลศูนย์ จะไม่รับคลอดครรภ์แฝด ซึ่งตรงกับข้อมูลของ รพ.เจ้าพระยายมราช ที่ไม่พบการส่งต่อผู้ป่วยและเด็กแรกคลอดมาทำการรักษาที่โรงพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. และจากวงจรปิดก็ไม่พบว่ามีรถพยาบาล รพ.บางปลาม้า เข้ามาในโรงพยาบาลแต่อย่างใด

ส่วนที่พ่อแม่เด็กอ้างว่ามีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลโทรศัพท์ติดต่อให้มารับศพนั้น ทางโรงพยาบาลได้นำเบอร์ดังกล่าวมาโทรศัพท์กลับไป พบเป็นเบอร์ของบริษัทสื่อสารแห่งหนึ่ง (ทีโอที) เบอร์ 035-535006 ส่วนอีกเบอร์ ซึ่งเป็นเบอร์มือถือ 064-2518836 ก็ไม่มีคนรับสาย ซึ่งหลักการในการรับศพจะไม่มีการโทรศัพท์แจ้งหลังผู้ป่วยเสียชีวิต แต่จะมีการแจ้งก่อนทุกครั้ง และขั้นตอนการรับศพนั้น ญาติผู้เสียชีวิตจะต้องนำเอกสารมาส่งที่ห้องเก็บศพติดต่อรับศพ ไม่ได้ติดต่อที่แผนกเด็กทารกแรกเกิดตามที่แม่เด็กอ้าง ซึ่งจากการตรวจสอบวงจรปิดก็ไม่พบแม่เด็กขึ้นไปบนชั้น 3 ของโรงพยาบาล และแพทย์ที่รับผิดชอบก็ไม่พบเด็กแฝดชายหญิงมานอนรักษาตัวที่แผนกตามที่ถูกกล่าวอ้างด้วย ส่วนเรื่องการจ่ายเงิน 500,000 บาท ที่พ่อแม่เด็กกล่าวอ้างนั้นก็ไม่เป็นเรื่องจริง เพราะโรงพยาบาลไม่ได้ทำอะไรผิด

นพ.พงษ์นรินทร์ ชาติรังสรรค์ ผู้อำนวยการ รพ.เจ้าพระยายมราช บอกว่า กรณีนี้ยังไม่เข้าใจเหตุผลว่า ทั้งคู่ต้องการอะไรจากการเรียกร้อง ซึ่งหากมีอาการป่วยจิตเวช ก็อยากรักษาอาการ โดยต้องมีการตรวจจากแพทย์เฉพาะทาง เพราะการกระทำดังกล่าวทำให้วิชาชีพแพทย์เสียหาย และโรงพยาบาลก็เสียหายเช่นกัน ขณะนี้ได้ให้ทางทีมกฎหมายของโรงพยาบาลดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

ขณะที่ฝ่ายญาติ ซึ่งอ้างว่าหลานเสียชีวิต แต่ศพหาย ได้ลบโพสต์เหตุการณ์เปิดโลงไม่พบเด็ก และใบแจ้งความต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ทำให้หลายคนสงสัยว่าเป็นการกุเรื่องขึ้นมาของแม่เด็กหรือไม่. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% ไม่พอใจเข้มปราบแก๊งคอลฯ

กระทรวงวัฒนธรรม 26 ก.ค.- “แพทองธาร” เปิดใจ ขอคนไทยรักกัน หันไปทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน ชี้ขัดแย้งกันเองยังรอได้ แฉกัมพูชาไม่พอใจไทยร่วมมือลาว – เมียนมา ปราบคอลเซ็นเตอร์ เผยสื่อนอกยังตั้งข้อสังเกต “กพช.” สั่งปิด รร.ยิงวันแรก เหมือนรู้ล่วงหน้าจะมีการรบ ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมติดตามมาตรการการรับมือ และช่วยช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 จังหวัด ที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยนางสาวแพทองธารได้ยืนยันแถลงการณ์ของรัฐบาล ตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้แถลงไปเมื่อวานนี้ ที่ระบุว่ากัมพูชาถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง วิธีการต่าง ๆ ขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดหลักมนุษยธรรมที่ได้ปฏิบัติมาตลอด สถานการณ์ความรุนแรง เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ย้ำตลอดว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือชีวิตของประชาชน เป็นสิ่งที่เรายึดถือ และพยายามไม่ให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ จนฝ่ายกัมพูชาได้ยิงก่อน ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา นางสาวแพทองธารยังกล่าวว่า มีสำนักข่าวต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วเรามีหลักฐาน มีดิจิทัลฟุตปริ้นท์ที่สามารถทำให้เห็นว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน และมีการตั้งข้อสังเกตว่าในวันนั้นนักเรียนของเราที่อยู่ชายแดนไปโรงเรียนตามปกติ […]

“เสธ.เบิร์ด” ชี้เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” ถือเป็นภัยคุกคาม

26 ก.ค.- “เสธ.เบิร์ด” ชี้ เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” วิถีไกล 130 กม. ถือเป็นภัยคุกคาม มองไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากกรณีกองทัพภาคที่ 2 เตือนเฝ้าระวังกัมพูชายิงขีปนาวุธ PHL-03 วิถีไกล 130 กม. เพื่อพุ่งเป้าหมายพื้นที่ยุทธศาสตร์และที่ตั้งทหารนั้น ล่าสุด พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวว่า การขยับขีปนาวุธ PHL-03 เป็นการขู่ และถือเป็นภัยคุกคาม ดังนั้นถ้าไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากการที่กัมพูชากล่าวหาว่า ไทยใช้ปฏิบัติการทางอากาศเกินกว่าเหตุนั้น เราไม่ทำเกินกว่าเหตุ แต่สิ่งที่เราทำนี้เป็นเหตุผล เพราะฝ่ายกัมพูชา เคลื่อนกำลังจำนวนมากมาประชิดชายแดน ใช้อาวุธยิงระยะไกลทำร้ายประชาชนของไทย ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ทำให้ประชาชนชาวไทยบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการมีภาพข่าวการเคลื่อนอาวุธยิงระยะไกล ถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคามความมั่นคงของไทยอย่างชัดเจน ดังนั้นการปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้การปฏิบัติการทางอากาศของไทยทำลายเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และมีความแม่นยำ -สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมน่านลดต่อเนื่อง ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย

น่าน 26 ก.ค.- สถานการณ์น้ำท่วมตัวเมืองน่าน ลดลงต่อเนื่อง ส่วนอีกหลายจุดยังอ่วม ท่วมสูงกว่า 1 เมตร ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย ย่านการค้าและเศรษฐกิจสำคัญของเมืองน่าน บริเวณถนนสุมณเทวราช ซึ่งเคยน้ำท่วมสูงเกือบถึงคอ แต่ตอนนี้น้ำลดลงเหลือประมาณหน้าขา เท่ากับลดไปราว 1 เมตร แต่บริเวณโดยรอบยังมีน้ำท่วมเต็มพื้นที่ โดยเฉพาะที่ลุ่มต่ำ ยังท่วมสูงกว่า 1 เมตร ทีมข่าวได้เข้าไปสำรวจความเสียหายของโรงแรงแห่งหนึ่งกลางเมืองน่าน ซึ่งสภาพภายในเต็มไปด้วยคราบโคลน รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ที่จอดไว้เสียหายจำนวนมาก ขณะที่เจ้าของร้านค้าย่านนี้ เริ่มสำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม อีกจุดหนึ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักคือที่โรงพยาบาลน่านที่ถูกน้ำท่วมสูงเต็มพื้นที่ 40 ไร่ บางจุดท่วมเกือบมิดหัว ตอนนี้น้ำลดแล้ว แต่ตามอาคารต่างๆ น้ำทะลักท่วมยาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ได้รับความเสียหาย แต่ผู้ป่วยใน ราว 3 ร้อยคน ยังปลอดภัย คุณหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่เร่งช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด เพื่อให้โรงพยาบาลกลับมาเปิดบริการตามปกติให้เร็วที่สุด ช่วงสายที่ผ่านมา นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายใจกลางเขตเศรษฐกิจเมืองน่านด้วย -สำนักข่าวไทย