ระดมทีมค้าปลีกอัดฉีดสภาพคล่องช่วย SMEs

กรุงเทพฯ 18 พ.ค. – หอการค้าไทยระดมทีมค้าปลีกอัดฉีดสภาพคล่องช่วย SMEs เพื่อให้สามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้


นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยได้ระดมความเห็นเพื่อนำเสนอแนวทางเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ด้วย Digital Transformation เพื่อให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งเป็น 1 ในภารกิจ 99 วันแรกของหอการค้าไทย ในสภาวะวิกฤติโควิด-19 นี้ SMEs ขาดสภาพคล่องเป็นอย่างมาก และต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะ SMEs ขนาดเล็ก ทางหอการค้าไทยจึงทำหน้าที่ Connect the Dots ร่วมกันหารือกับคณะกรรมการของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และสมาคมศูนย์การค้าไทย และผู้บริหารระดับสูงจาก สมาชิกของสมาคมฯ ได้แก่ Central Retail, The Mall Group, Robinson, CP All, Siam Piwat, Makro, Lotus, Big C และ ตั้งงี่สุน เป็นตัวแทนในการหารือ พร้อมด้วยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม (สสว.) เพื่อช่วยให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างสะดวก ทั่วถึง และรวดเร็ว

ทั้งนี้ โดยเล็งเห็นว่าผู้ประกอบการค้าปลีกต่างๆ มีความสัมพันธ์ที่ดี และมีประวัติการซื้อขายของ Supplier ซึ่งสามารถนำมาประกอบการใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ได้ โดยมีแนวทางขับเคลื่อนในการให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนแยกเป็น 2 ประเภท ด้วยกัน คือ 1. เงินทุนเพื่อนำไปปรับปรุง และขยายกิจการ


1.1ผ่านสินเชื่อ Soft Loan ตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันเต็มวงเงิน ด้วยความร่วมมือจาก ภาครัฐ สถาบันการเงิน และผู้ประกอบการค้าปลีก ธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาคุณสมบัติของ SMEs ด้วยข้อมูลที่ได้จากผู้ประกอบการค้าปลีกเพื่อใช้ในการพิจารณาอนุมัติตามเกณฑ์

1.2 ในกรณีไม่เข้าเงื่อนไขในการพิจารณาสินเชื่อ Soft Loan ตามข้อ 1.1 ธนาคารพาณิชย์จะพิจารณานำเสนอสินเชื่อประเภท Clean Loan ที่มีดอกเบี้ยต่ำใกล้เคียงกับ Soft Loan 2. เงินทุนหมุนเวียนเพื่อนำไปเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ 2.1 ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อ Factoring โดยตรงไปยัง SMEs โดยใช้ คำสั่งซื้อ และใบแจ้งหนี้จากผู้ประกอบการค้าปลีก เป็นหลักประกัน 2.2 ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการค้าปลีก เพื่อนำไปทำ Factoring โดยตรงให้กับ Supplier ในอัตราดอกเบี้ยเดียวกั

นอกจากนี้  เซ็นทรัลรีเทล (CRC) และ KBANK ได้เริ่มต้นแบบของ Sand Box ในการปล่อยกู้ให้ Supplier กว่า 4,000 ราย โดยสามารถอนุมัติได้มากขึ้น และรวดเร็ว และกว่าร้อยละ  70 ของ Supplier ยังไม่เคยเข้าถึง Soft Loan มาก่อน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารกรุงเทพ เข้าร่วมโครงการ Sand Box และหลังจากนี้ จะขยายผลไปยังสมาชิกของสมาคมฯ และธนาคารพาณิชย์อื่นๆ ต่อไป คาดว่าจะมีจำนวน SMEs มากกว่า 100,000 ราย โดยเฉพาะ SMEs ขนาดเล็ก ที่จะเข้าถึง Soft Loan และ Factoring ในต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำ เพื่อเป็นแต้มต่อในการดำเนินธุรกิจ และเสริมสภาพคล่อง ขณะเดียวกันทางหอการค้า ได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย จัดทำระบบ e-Factoring โดยจะมีรวบรวมฐานข้อมูลกลาง และขั้นตอนการนำส่งข้อมูลของผู้ขายสินค้าจากห้างค้าปลีก ไว้ที่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ เพื่อความสะดวกและลดความซ้ำซ้อน หาก Supplier เป็นลูกค้าหลายธนาคารและขอสินเชื่อผ่านทุกธนาคาร โดยธนาคารพาณิชย์จะช่วยพิจารณาคุณสมบัติของผู้ขายสินค้า และจัดกลุ่มเพื่อใช้เป็นแหล่งสินเชื่อ จากมาตรการฟื้นฟูผู้ประกอบการธุรกิจ (250,000 ล้านบาท) และสินเชื่อ Factoring ที่ทางภาครัฐได้มีการเตรียมไว้แล้ว โดยมีการทำแผนงานร่วมกันทั้งสถาบันทางการเงิน และ Modern Trade ใหญ่ๆ ให้การสนับสนุนให้ SMEs สามารถโอนสิทธิบัญชีลูกหนี้การค้าให้สถาบันทางการเงิน และทางห้างค้าปลีกที่เป็นผู้ซื้อสินค้า จะผ่อนคลายมาตรการข้อตกลงต่าง ๆ ให้กับผู้ขายที่มีประวัติที่ดีในการค้าขายระหว่างกัน เช่น ลด Disclaimers การชำระเงิน, การคืนของ เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอที่ผู้ประกอบการค้าปลีกขอให้ธนาคารพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาเพิ่มเพื่อให้ SMEs ได้เข้าถึงสินเชื่อ Soft Loan และ Term Loan ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

1. SMEs ที่ไม่ได้มีประวัติการซื้อขายเป็นประจำกับผู้ประกอบการค้าปลีก ทางธนาคารพาณิชย์ควรพิจารณานำยอดการซื้อขายจากผู้ประกอบการค้าปลีกรายอื่นๆ มารวมในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ Soft Loan ด้วย 2. ขอให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อทางเลือก เช่น Factoring และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องให้มีอัตราใกล้เคียงกับ Soft Loan เพื่อเป็นทางเลือกให้กับ SMEs ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน 3. ขอให้ธนาคารพาณิชย์หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อพิจารณาปลดล็อค หรือผ่อนผันให้ SMEs ที่มียอดขายดี และสม่ำเสมอกับผู้ประกอบการค้าปลีกที่อาจจะติด Credit Bureau เช่น อยู่ในระหว่างปรับโครงสร้างหนี้ หรือ NPL เพื่อให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ยิ่งต้องมีการผ่อนผันเพิ่มขึ้นเพื่อให้สถานะทางการเงินของ SMEs ฟื้นตัวโดยเร็ว โดยมีข้อมูลสนับสนุนจากผู้ประกอบการค้าปลีกประกอบในการพิจารณาเป็นหลักประกัน และลดความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์

4. ขอให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการค้าปลีก เพื่อที่จะนำไปช่วยเหลือในการทำ Factoring โดยตรงกับ SMEs โดยหลังจากที่ภาคเอกชนเข้าไปสนับสนุนการกระจายวัคซีนแล้ว เรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยหอการค้าไทยพร้อมที่จะ Connect the Dots ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วย SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยร่วมกันต่อไป . – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]