“ปิยบุตร” นำทีมล่าล้านชื่อแก้ รธน. รื้อระบอบประยุทธ์

ม.ธรรมศาสตร์ 6 เม.ย. – “ปิยบุตร” นำทีมกลุ่ม Resolution คิกออฟล่าล้านชื่อแก้ รธน. รื้อระบอบประยุทธ์ สกัดกั้นสืบทอดอำนาจ ดันรัฐสภาเดี่ยว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 15.00 น. วันนี้ (6 เม.ย.) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่ม Resolution ซึ่งประกอบด้วย คณะก้าวหน้า กลุ่มไอลอว์ กลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล นำโดย นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เปิดแคมเปญรณรงค์แก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ปลดอาวุธ คสช. ภายใต้สโลแกน “ขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์” เพื่อลงชื่อแก้รัฐธรรมนูญเปิดทางสู่ประชาธิปไตย โดยมีการตั้งโต๊ะให้ประชาชนสามารถมาร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางความสนใจของประชาชนทั่วไปและกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ รวมถึงพระสงฆ์ ทยอยเดินทางมาลงชื่ออย่างต่อเนื่อง

ขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์ แกนนำราษฎร และ น.ส.ชญาธนุส ศรทัตต์ หรือ เฌอเอม อดีตผู้เข้าประกวดจากเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 มาร่วมลงชื่อกิจกรรมในครั้งนี้ รวมถึง ส.ส.พรรคก้าวไกล อาทิ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์


ทั้งนี้ นายปิยบุตร ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดกิจกรรมว่า เหตุผลที่มีการรณรงค์ล่ารายชื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ เราทำในนามของกลุ่ม Resolution โดยการลงชื่อครั้งนี้ คือ การเข้าชื่อตามสิทธิรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เป็นการใช้สิทธิของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง 50,000 คนขึ้นไป เข้าชื่อเพื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา โดยการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 มี 3 ช่องทางใหญ่ๆ คือ 1. การยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2560 ทั้งฉบับ และทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยปราศจากข้อจำกัดใดๆ ซึ่งในประเทศไทยเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ด้วยวิถีนอกรัฐธรรมนูญ คือ การทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งและเขียนฉบับใหม่ ซึ่งเราไม่ประสงค์ให้เกิด จึงมีวิธีการที่ 2 คือ การทำประชามติ เพื่อเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แล้วให้ประชาชนร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาทั้งฉบับ โดยปราศจากข้อจำกัด ซึ่งไม่ใช่การทำประชามติภายใต้ระบบกฎหมายที่เป็นอยู่ แต่ต้องเป็นประชามติตามอำนาจสถาปนาของประชาชน

นายปิยบุตร กล่าวว่า ช่องทางที่ 2 ที่ได้ทำไปแล้ว คือ การแก้รัฐธรรมนูญปี 2560 เปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร) เพื่อทำใหม่ทั้งฉบับ แต่ปรากฏว่าถูกเบี้ยวลงไปดื้อๆ ถูกทำให้ตกไป ส่วนช่องทางที่ 3 คือ การแก้ไขรายมาตรา โดยในรัฐสภาเริ่มมีการพูดกันแล้ว แต่เป็นประเด็นที่เล็กมาก เช่น เรื่องระบบเลือกตั้ง ก็เป็นการแก้เพื่อประโยชน์ของนักการเมือง หรือแก้ไขมาตรา 144 ให้ ส.ส.สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับการใช้งบประมาณ ที่ไม่ได้เป็นการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างใดๆ จึงเป็นที่มาให้กลุ่มของพวกเราจัดกิจกรรมรณรงค์ออกมาใช้สิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ เข้าชื่อเสนอแก้ไขรายมาตรา แล้วเสนอแก้ประเด็นใหญ่ๆ เป็นการแก้ไขเพื่อรื้อระบอบประยุทธ์ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้วางกลไกหลายอย่างที่ค้ำยันระบอบประยุทธ์ไว้ได้

เมื่อถามว่า มีการเสนอจะแก้ไขอำนาจที่มาของ ส.ว. จะเป็นไปได้หรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า ที่ผ่านมาเสียงของรัฐสภาไม่แยแสเสียงของประชาชน ตีตกในข้อเสนอ หลายคนเป็นห่วงว่า ล่ารายชื่อไปก็หวั่นจะโดนตีตกอีก แต่ครั้งนี้จะแตกต่างจากเดิม โดยจะรณรงค์ให้ได้รายชื่อมากขึ้น และรณรงค์ในประเด็นที่พุ่งตรง ที่เป็นใจกลางของปัญหารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ ส.ว. 250 คน ซึ่งถ้าหากเราได้รายชื่อหลายแสนคนหรือเป็นล้านคน ส.ว.ทั้ง 250 คน จะต้องถูกกดดัน ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิด และหาก ส.ว. ยังไม่แยแสเสียงเรียกร้องของประชาชน ผลลัพธ์ทางการเมืองจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน


เมื่อถามว่า ตั้งเป้าการล่ารายชื่อไว้ใช้ระยะเวลาเท่าไร นายปิยบุตร กล่าวว่า วันนี้เป็นวันครบรอบ 4 ปี ของการใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 เฉลี่ยประเทศเรามีรัฐธรรมนูญมา 4 ปีครึ่ง ต่อ 1 ฉบับ เพราะเรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ ดังนั้น จึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมาทบทวน และประชาชนก็เห็นอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชมาพอสมควร จึงต้องเริ่มรณรงค์ โดยตั้งเป้าแรก 6 เดือน และดูว่าจะได้จำนวนรายชื่อมากพอหรือไม่ แต่ต้องให้เกิน 50,000 คน หรืออาจจะถึงหลักแสนหลักล้าน เพื่อให้เป็นนัยสำคัญในการส่งเสียงไปถึงสถาบันการเมืองและ ส.ว.

เมื่อถามว่า หมวด 1 และหมวด 2 นั้นเป็นการลดเพดาน เพื่อเพิ่มแนวร่วมใช่หรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า ตนยังยืนยันว่ารัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำทั้งฉบับ โดยเฉพาะในหมวด 2 มีหลายส่วนที่ต้องปรับปรุงแก้ไข และรัฐธรรมนูญไทยไม่ได้ห้ามการแก้หมวด 1 และหมวด 2 แต่สำหรับการรณรงค์ในครั้งนี้ เรามุ่งเน้นไปที่กลไกการขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสืบทอดอำนาจของ คสช.ไว้ ส่วนประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็จะรณรงค์ทางความคิดและทางวิชาการต่อไป

“อนาคตหากต้องการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 มีประเด็นใดบ้างที่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย วันนี้เรามุ่งเป้าที่ 4 ประเด็นใหญ่ คือ การยกเลิกวุฒิสภา โละศาลรัฐธรรมนูญเรื่องขององค์กรอิสระ การยกเลิกแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิรูปประเทศ ล้างมรดกคณะรัฐประหาร การไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สนใจเรื่องนั้น วันนี้เราแค่รณรงค์ 4 ประเด็นนี้ก่อน ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สนใจเรื่องหมวด 1 และหมวด 2” นายปิยบุตร กล่าว

ขณะที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า กล่าวว่า นอกจากการให้มี ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว เราจะเดินคู่ขนานขับเคลื่อนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด คือ การที่ระบอบประยุทธ์ หรือ คสช.ใช้ในการสืบทอดอำนาจ โดยจะครอบคลุม 4 ประเด็นหลัก ประเด็นแรก คือ การรื้อวุฒิสภา 250 คน เพราะเป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจที่ชัดเจน เพราะมาจากการแต่งตั้งของ คสช. มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี จัดตั้งองค์กรอิสระ ปฏิรูปกฎหมายประเทศ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นถ้าจะสกัดกั้นการสืบทอดอำนาจได้ จำเป็นจะต้องรัฐสภาเดี่ยวที่มีแต่สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง 500 คน

ประเด็นที่ 2 คือ การปฏิรูปที่มาและอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ปัจจุบันองค์กรเหล่านี้ต้องผ่านการรับรองจาก ส.ว. ทำให้ประชาชนขาดความศรัทธา และตั้งคำถามถึงความเป็นกลาง เพราะฉะนั้นถ้ายุบเหลือสภาเดี่ยว และใช้กระบวนการสรรหากรรมการองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะทำให้เกิดการยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น รวมไปถึงการวางขอบเขตอำนาจให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า กระบวนการยุติธรรม กระบวนการจัดการเลือกตั้ง และการตรวจสอบทุจริต มีความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง

ประเด็นที่ 3 คือ การยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ เพราะอันตรายตรงที่ว่า หากนักการเมืองคนไหนไม่ทำตามยุทธศาสตร์ชาติใน 20 ปีข้างหน้า ก็จะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการเล่นงานนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้ ดังนั้น นโยบายของรัฐบาลควรมีความยืดหยุ่น และเป็นผู้ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ประเด็นสุดท้าย คือ การล้างมรดกรัฐประหาร โดยการยกเลิกมาตรา 279 ที่ปัจจุบันเป็นการนิรโทษกรรมให้คำสั่ง คสช.ทุกฉบับเป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นจะต้องมีการยกเลิกมาตรานี้ เพื่อหวังให้ประเทศไทยปลอดการรัฐประหาร. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ทั่วไทยฝนตกหนัก เตือน 5 จังหวัดเสี่ยงรับมือ

กทม. 23 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยฝนตกหนัก เตือน 5 จังหวัดเสี่ยงรับมือ เฝ้าระวัง “พายุดีเปรสชัน” มีแนวโน้มทวีกำลังแรงเป็นพายุโซนร้อน กระทบไทย 24-27 ส.ค.นี้ กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดตาก จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนตกสะสมที่อาจเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศลาวตอนบน และเวียดนามตอนบน สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และจะขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามและประเทศลาวตอนบน ในช่วงวันที่ 25–26 ส.ค. 68 ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคเหนือ ในช่วงวันที่ 24–27 ส.ค. 68 -สำนักข่าวไทย

โปรดเกล้าฯ 6 บิ๊ก ขรก.มหาดไทย “ขจรเกียรติ” นั่งอธิบดีกรมที่ดิน

ทำเนียบ 23 ส.ค.- โปรดเกล้าฯ 6 บิ๊กข้าราชการมหาดไทย “ขจรเกียรติ” นั่งอธิบดีกรมที่ดิน ด้าน “เชษฐา” เป็นอธิบดี ปภ. ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย ดังนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.2568 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 22 ส.ค.2568 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี -สำนักข่าวไทย

จับอดีตหัวหน้าพรรคการเมืองโกงเงินอุดหนุน ก่อนหนีกบดานลาว

22 ส.ค. – ตำรวจภูธรภาค 1 จับอดีตหัวหน้าพรรคการเมือง โกงเงินอุดหนุน 17.6 ล้านบาท หนีกบดานลาว ก่อนจนมุมถูกจับกุมได้ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1), พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1, พล.ต.ต.ธรรมนูญ เชาวะวนิชย์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระพุทธบาท, ตม.จว.หนองคาย, กกต.จว.หนองคาย ร่วมกันจับกุม นายพีระวิทย์ อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ สืบเนื่องจากเมื่อปี 2562 นายพีระวิทย์ เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง รับเงินอุดหนุนพรรคการเมือง เพื่อพัฒนาพรรคการเมือง จำนวนประมาณ 17.6 ล้านบาท โดยไม่มีการทำหลักฐานการเบิกจ่าย ทำให้ กกต. เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายพีระวิทย์ และเหรัญญิกพรรค ต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.พระพุทธบาท โดยเลื่อนการเข้าให้ปากคำและแสดงหลักฐานการเบิกจ่ายเงิน และต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองได้หลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงออกหมายจับในข้อหา […]

“ธีรรัตน์” สั่งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ สแตนด์บาย 24 ชม. รับพายุคาจิกิ

กทม. 22 ส.ค.- “ธีรรัตน์” สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ สแตนด์บายรับมือผลกระทบ “พายุคาจิกิ” ตลอด 24 ชั่วโมง ย้ำ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนรับรู้และเตรียมพร้อมอย่างต่อเนื่อง นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ติดตามสภาวะอากาศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับผลกระทบพายุโซนร้อน “คาจิกิ” ซึ่งพบว่าพื้นที่บางส่วนมีความเสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังซ้ำซาก ระหว่างวันที่ 24 – 28 สิงหาคม 2568 ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ 45 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร นางสาวธีรรัตน์ ได้สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด 45 จังหวัด และศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต รวมถึงกรุงเทพมหานคร กำชับให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน และสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้จัดทีมปฏิบัติการพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อเข้าเผชิญเหตุและให้การช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประกาศแจ้งเตือนและปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้บุคคลใดเข้าพื้นที่หากพบว่ามีความเสี่ยง ในส่วนพื้นที่ชายฝั่ง ให้สั่งห้ามนักท่องเที่ยวเล่นน้ำและห้ามเดินเรือทุกชนิดหากสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรง “ให้ผู้ว่าฯ […]

ข่าวแนะนำ

ทบ. ตรวจสอบสาเหตุพลทหารเสียชีวิตที่ปราสาทตาเมือนธม

24 ส.ค. – กองทัพบกได้รับรายงานการเสียชีวิตของกำลังพลบริเวณปราสาทตาเมือนธม ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบสาเหตุ พร้อมให้การช่วยเหลือเยียวยาตามสิทธิอย่างครบถ้วน กองทัพบกขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของ พลทหาร พิทยุตท์ โสดา กำลังพลสังกัด กองพันทหารราบที่ 21 หน่วยเฉพาะกิจที่ 2 ซึ่งเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2568 เวลา 18.15 น. โดยพบร่างผู้เสียชีวิตภายในห้องสุขา บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ พลทหารพิทยุตท์ โสดา อายุ 20 ปี เป็นทหารกองประจำการ รุ่นปี 1/67 จากการสมัครใจเข้ามารับราชการในโครงการพลทหารออนไลน์ ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง พลปืนเล็ก หมู่ปืนเล็กที่ 2 หมวดปืนเล็กที่ 1 สังกัด กองร้อยทหารราบที่ 211 กองพันทหารราบที่ 21 หน่วยเฉพาะกิจที่ 2 จากการตรวจสอบเบื้องต้น ผู้เสียชีวิตไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีประวัติเสพยาเสพติด ไม่มีภาวะความเครียด […]

แจงปมเลขบัตรประชาชน “หลวงพ่ออลงกต” ซ้ำคนตาย

กทม. 24 ส.ค.-กรมการปกครอง แจงปม “เลขประจำตัวประชาชน” หลวงพ่ออลงกต ซ้ำกับคนตาย ส่วนการเปิดพร้อมเพย์ เลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ตาย ซึ่งตรงกับบัญชีกองทุนอาทรประชานาถ เป็นการดำเนินการโดยธนาคารพาณิชย์ กรณีมีรายงานว่า หลวงพ่ออลงกต วัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งมีชื่อเดิมว่า นายอลงกต พูลมุข มีชื่อซ้ำกับ นายอลงกต พลมุข ที่มีภูมิลำเนาที่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา และได้เสียชีวิตไปแล้วนั้น รวมทั้งวันเดือนเกิดยังตรงกัน ต่างกันเพียงปีเกิด ล่าสุดเฟซบุ๊ก กรมการปกครอง fanpage ได้โพสต์ข้อความถึงประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า “กรมการปกครอง ชี้แจงกรณีเลขบัตรประจำตัวประชาชนของหลวงพ่ออลงกต ตามที่ปรากฏข้อมูลจากสื่อมวลชนว่า ‘หลวงพ่ออลงกต มีเลขประจำตัวประชาชนตรงกับนายอลงกต พลมุข ซึ่งเป็นบุคคลที่เสียชีวิตแล้ว’ นั้น สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ได้ตรวจสอบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง พบว่า พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือ หลวงพ่ออลงกต เลขประจำตัวประชาชน x-xxxx-xxx036-50-7 ชื่อจริง อลงกต พูลมุข นามสกุล พูลมุข มีสระอู เกิดปี […]

ผู้ว่าฯ สระแก้ว ขอโทษทำเข้าใจคลาดเคลื่อน ปมเอกสารสิทธิ์ที่ดินบ้านหนองจาน

สระแก้ว 24 ส.ค.-ผู้ว่าฯ สระแก้ว ขอโทษที่ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน กรณีเอกสารสิทธิ์ที่ดินบ้านหนองจาน ยืนยันพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในราชอาณาจักรไทย ให้ประชาชนผู้มีหลักฐานยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินได้ วันที่ 23 ส.ค.68 เพจ สวท.สระแก้ว เผยแพร่สารจากผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ชี้แจงกรณีเอกสารสิทธิ์ชาวบ้านหนองจาน อ.โคกสูง ระบุว่า ผมกราบขอโทษพี่น้องประชาชนทุกท่าน ที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกรณีพื้นที่บริเวณบ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง ทั้งนี้ ผมขอยืนยันว่า พื้นที่บริเวณบ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง อยู่ในราชอาณาจักรไทย ประชาชนผู้มีหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ใบจอง (ส.ค.2) และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) บริเวณบ้านหนองจาน และบริเวณหลักเขตแดนที่ 45-49 สามารถยื่นคำขอออกโฉนดที่ดิน ต่อเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดสระแก้ว สาขาอรัญประเทศได้ โดยเจ้าหน้าที่จะดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้แก่ประชาชนที่มีสิทธิทุกราย ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด.-สำนักข่าวไทย

พายุ “คาจิกิ” แนวโน้มทวีกำลังแรงขึ้น เตือน 24-27 ส.ค. ฝนหนักหลายพื้นที่

กทม. 24 ส.ค.-กรมอุตุฯ ประกาศฉบับ 7 พายุ “คาจิกิ” มีแนวโน้มทวีกำลังแรงขึ้น เตือน 24-27 ส.ค.68 ไทยฝนเพิ่มมากขึ้น ตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่กับมีลมแรง บริเวณอีสานตอนบน ภาคเหนือ กลาง ตะวันออก และใต้ฝั่งตะวันตก รวมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศฉบับที่ 7 เรื่อง พายุ “คาจิกิ” และฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันนี้ (24 ส.ค. 68) พายุโซนร้อนกำลังแรง “คาจิกิ” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 570 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกของเมืองดองฮอย ประเทศเวียดนาม หรือที่ละติจูด 17.5 องศาเหนือ ลองจิจูด 112.0 องศาตะวันออก ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 112 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้น […]