ชัวร์ก่อนแชร์ : พ่นแอลกอฮอล์ใส่กุญแจรถ ทำให้รถระเบิด จริงหรือ ?

30 มีนาคม 2564
ตรวจสอบข้อเท็จจริง / เรียบเรียง โดย : พีรพล อนุตรโสตถิ์, กลาง ณัฐนที

บนสังคมออนไลน์ แชร์ข้อความ “ห้ามพ่นหรือทาแอลกอฮอลล์ที่กุญแจรถ” พร้อมกับคลิปวิดีโอ ที่ทำให้เข้าใจว่า อาจเป็นเหตุให้รถยนต์ระเบิดได้ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบกับผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ยืนยันว่า “ไม่เป็นความเป็นจริง”

บทสรุป : ไม่จริง และ ไม่ควรแชร์ต่อ
พ่นแอลกอฮอล์ใส่กุญแจแล้วสตาร์ทรถ ไม่ทำให้รถระเบิด
คลิปวิดีโอที่มีการระเบิดไม่ใช่เหตุการณ์จริง แต่เป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง “Narcos Season 3”
แต่แอลกอฮอล์เป็นสารไวไฟที่ต้องใช้และจัดเก็บอย่างถูกต้อง

สืบหาต้นตอ ข้อมูลที่ถูกแชร์
คลิปวิดีโอความยาว 1 นาที ถูกแชร์มาพร้อมข้อความระบุว่า “ห้ามพ่นหรือทาแอลกอฮอลล์ที่กุญแจรถ” โดยในคลิปวิดีโอมีภาพชายคนหนึ่งพ่นสเปรย์แอลกอฮอล์ปริมาณมากใส่กุญแจรถและภายในรถ เมื่อสตาร์ทรถ ภาพเปลี่ยนเป็นเหตุการณ์รถระเบิดอย่างรุนแรง ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สืบหาต้นตอคลิปวิดีโอดังกล่าว พบคลิปต้นฉบับ บนแอปพลิเคชัน TikTok อัปโหลดตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2563 โดยผู้ใช้ที่ชื่อว่า @suleymanics ซึ่งอาศัยอยู่ที่สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน

โดย ณ เดือนมีนาคม 2564 มียอดการรับชมมากกว่า 3.6 ล้านครั้ง มีผู้กดถูกใจมากกว่า 1.3 แสนคน และมีการแชร์คลิปวิดีโอมากกว่า 1.2 หมื่นครั้ง นอกจากนี้ ยังมีการนำวิดีโอออกมาเผยแพร่ใน Line อย่างกว้างขวาง รวมทั้งมีผู้ส่งเรื่องเข้ามาสอบถามข้อเท็จจริงกับศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์


FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง
ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท ตรวจสอบกับ ดร.ภุชงค์ ศรีอ่วม วิศวกรความปลอดภัยในการทำงาน ศูนย์ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (SHE CU) ได้รับการยืนยันว่า “การพ่นแอลกอฮอล์ใส่กุญแจแล้วสตาร์ทรถ ไม่ทำให้รถระเบิด แต่แอลกอฮอล์เป็นสารไวไฟ สามารถติดไฟได้จริง ควรใช้อย่างพอดี และจัดเก็บอย่างระมัดระวัง”

ดร.ภุชงค์ กล่าวว่า สาเหตุที่พ่นแอลกอฮอล์ใส่กุญแจแล้วสตาร์ทรถ ไม่ทำให้เกิดการระเบิด เพราะโดยปกติแล้ว ส่วนที่จะเกิดประกายไฟคือส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างขั้วแบตเตอรี่ซึ่งอยู่ใต้กระโปรงรถ ซึ่งถ้าเชื่อมต่ออย่างหนาแน่นก็จะไม่เกิดประกายไฟ ดังนั้นการใช้กุญแจสตาร์ทรถจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด เพราะอยู่ภายในรถไม่เกี่ยวข้องกัน

แอลกอฮอล์เป็นสารไวไฟ สามารถติดไฟได้จริง
อย่างไรก็ตาม แอลกอฮอล์เป็นสารไวไฟ สามารถติดไฟได้จริง สเปรย์แอลกอฮอล์โดยทั่วไปจะมีความเข้มข้นประมาณ 70% ผสมกับน้ำอีก 30%  ถ้าพ่นสเปรย์แอลกอฮอล์ในรถถึงอัตราส่วนที่จะเกิดการระเบิดได้ แล้วปิดกระจกมิดชิดทุกด้าน เมื่อมีความร้อนเกิดขึ้น เช่น จอดรถตากแดดทิ้งไว้ หรือจุดบุหรี่ แอลกอฮอล์ภายในรถก็มีโอกาสที่จะติดไฟและระเบิดได้

ขอบเขตของการจุดติดไฟ (Explosive Limits)
ดร.ภุชงค์ อธิบายเพิ่มเติมว่า การจุดติดไฟหรือการระเบิด จำเป็นต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างคือ สารไวไฟ ก๊าซออกซิเจน และแหล่งจุดไฟ เมื่อมีองค์ประกอบครบทั้ง 3 อย่างแล้ว ก็ไม่จำเป็นว่าจะเกิดการติดไฟหรือเกิดระเบิดเสมอไป ยังต้องคำนึงถึงคุณสมบัติของสารไวไฟชนิดนั้น ๆ ด้วย โดยสารไวไฟแต่ละชนิดจะมีขอบเขตของการจุดติดไฟ (Explosive Limits) ดังนี้

1. Lower Explosive Limit (LEL) : อัตราส่วนผสมที่ต่ำที่สุดระหว่างสารไวไฟกับอากาศที่ทำให้เกิดการติดไฟ ถ้าอัตราส่วนผสมต่ำกว่าค่านี้ จะไม่สามารถติดไฟได้
2. Upper Explosive Limit (UEL) : อัตราส่วนผสมที่จะทำให้สารไวไฟไม่ติดไฟ ถ้าอัตราส่วนผสมมากกว่าค่านี้ จะไม่สามารถติดไฟได้เช่นเดียวกัน

แอลกอฮอล์เป็นสารไวไฟที่มีค่า LEL ประมาณ 3% และมีค่า UEL ประมาณ 19% ดังนั้น ต้องตรวจสอบปริมาณแอลกอฮอล์ที่พ่นในรถที่ปรากฏตามคลิปวิดีโอที่ถูกแชร์นั้น ว่าถึงค่านี้หรือไม่ ถ้าพ่นน้อยไม่ถึงค่า LEL เอาไฟไปจุดก็ไม่ติด ในทางกลับกันถ้าพ่นเยอะมากจนถึงค่า UEL เอาไฟไปจุดก็ไม่ติดเช่นเดียวกัน

ควรทำความสะอาดกุญแจรถด้วยแอลกอฮอล์หรือไม่ ?
ดร.ภุชงค์ ให้ความคิดเห็นว่า กุญแจรถเป็นส่วนที่มีการสัมผัสร่วมกันน้อย จึงอาจไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์อยู่บ่อยครั้ง ทั้งนี้ การป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย และหมั่นทำความสะอาดมือ ยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขแนะนำเป็นมาตรฐาน

แม้ว่าแอลกอฮอล์ช่วยฆ่าเชื้อและป้องกันเชื้อโรคได้ดี แต่แอลกอฮอล์เป็นสารไวไฟ ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตาได้ จึงควรใช้อย่างพอดี จัดเก็บอย่างระมัดระวัง ควรเก็บในที่ร่มระบายอากาศได้ดี ไม่โดนแสงแดด ประกายไฟ และความร้อน หากใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ ต้องรอให้แห้งก่อนเข้าไปใกล้ความร้อน มิฉะนั้นอาจทำให้ไฟไหม้ได้

ตรวจสอบข้อเท็จจริงของวิดีโอที่ถูกแชร์
ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบ วิดีโอและข้อความดังกล่าว พบว่า เป็นการจัดฉากถ่ายทำ และตัดต่อร่วมกับวิดีโอจากภาพยนตร์ โดยในนาทีที่ 0.00 – 0.52 เป็นภาพชายพ่นแอลกอฮอล์ในรถ ซึ่งถูกจัดฉากถ่ายทำขึ้น และในนาทีที่ 0.53 – 1.00 ไม่ใช่การระเบิดหลังพ่นแอลกอฮอล์ใส่กุญแจรถ แต่เป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง “Narcos Season 3” ดังนั้น วิดีโอที่ตัดต่ออย่างบิดเบือนความจริงนี้ จึงไม่มีความน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง

วิธีตรวจสอบวิดีโอเท็จด้วยตนเอง
ในปัจจุบันมีคลิปวิดีโอจำนวนมากที่ถูกแชร์ต่อโดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากได้รับการแชร์มาประชาชนสามารถตรวจสอบวิดีโอได้ ตามขั้นตอนดังนี้

1. บันทึกภาพหน้าจอวิดีโอขณะที่มีการระเบิด ให้เห็นภาพอาคารด้านหลังอย่างชัดเจน
2. นำภาพที่ได้ไปค้นหาในเว็บไซต์ https://www.google.co.th/imghp?hl=th หรือ https://yandex.com/images/
3. ตรวจสอบเว็บไซต์ที่มีวิดีโอต้นฉบับ

บทสรุป : ไม่จริง และ ไม่ควรแชร์ต่อ
ดร.ภุชงค์ ศรีอ่วม ยืนยันว่า การพ่นแอลกอฮอล์ใส่กุญแจแล้วสตาร์ทรถ ไม่ทำให้รถระเบิด แต่แอลกอฮอล์เป็นสารไวไฟ สามารถติดไฟได้จริง ควรใช้อย่างพอดี และจัดเก็บอย่างระมัดระวัง ส่วนคลิปวิดีโอที่มีการระเบิดนั้น ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบพบว่า ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง “Narcos Season 3” ดังนั้นจึงไม่ควรแชร์คลิปต่อ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม

🎯 หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์” 🎯
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: https://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare


ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

กระดูกเทียมไทเทเนียม นวัตกรรมไทยช่วยทหารกล้าชายแดน

กรุงเทพฯ 16 ส.ค.-สินค้า IP ไทยสุดเลิศ ผลิตกระดูกเทียมและอุปกรณ์ช่วยผ่าตัด ช่วยเหลือทหารแนวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อยอดส่งออกสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยในระยะยาว นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมกับบริษัท เมติคูลี่ จำกัด ผู้ผลิตกระดูกเทียมและอุปกรณ์ช่วยผู้ป่วยผ่าตัด ช่วยเหลือทหารแนวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน 4 ราย ซึ่งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าตามลำดับ เพื่อให้ทหารกล้าของไทยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยเร็ว “ความร่วมมือครั้งนี้ เริ่มจากกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีเยี่ยมผู้ประสบภัย ชายแดนไทย–กัมพูชา เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 จากนั้นได้ประสานกับ เมติคูลี่ ซึ่งได้รับเลือกจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ให้เป็น IP Champion ในสาขาสิทธิบัตรการประดิษฐ์ประจำปีนี้ มอบแผ่นปิดกะโหลกเทียมไทเทเนียมออกแบบเฉพาะบุคคล และกระดูก มือเทียมไทเทเนียมเฉพาะบุคคลให้ทางโรงพยาบาลเพื่อให้นายทหารที่ผ่านการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ 3 ราย และผ่าตัดข้อมือ 1 ราย ได้รับการรักษาที่มีความแม่นยำสูง ด้วยการออกแบบกระดูกที่มีขนาดจำเพาะกับสรีระผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยฟื้นฟูร่างกายได้ดีขึ้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติ โดยกระทรวงฯ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2” […]

“นราธิวาส” จับยาไอซ์ลอตใหญ่ 900 กก. ซุกรถขนผัก

กทม.16 ส.ค.-“ภูมิธรรม” เผย “นราธิวาส” จับยาไอซ์ลอตใหญ่ 900 กก. ซุกรถขนผัก สั่งการเร่งขยายผลต่อเนื่อง พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ว่าจากการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด ในวันนี้ทางจังหวัดนราธิวาสร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ได้มีการแกะรอย และตรวจค้นรถกระบะที่มีการลักลอบขนส่งยาเสพติด บริเวณอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส สามารถตรวจจับยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) ซุกซ่อนอยู่ในรถกระบะขนผัก จำนวน 30 กระสอบ น้ำหนักรวมประมาณ 900 กิโลกรัม และได้ทำการควบคุมตัวตัวผู้ต้องหาไว้ได้แล้ว นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ตนได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อติดตามการดำเนินงานและร่วมแถลงผลการจับกุมในวันที่ 16 ส.ค.นอกจากนี้ยังได้ให้กำลังใจผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด ไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกท่านที่ทำหน้าที่อย่างเข้มข้น ตั้งใจ จนสามารถจับกุมกรณีการลักลอบขนส่งยาเสพติดล็อตใหญ่นี้ได้ และได้ให้ติดตามเพื่อขยายผลการจับกุมต่อไป.-319.-สำนักข่าวไทย

รัฐบาลย้ำเกษตรกรเร่งขึ้นทะเบียน-ปรับปรุงข้อมูลทางทะเบียน รับเงินช่วยเหลือ

ทำเนียบฯ 16 ส.ค. – รัฐบาลย้ำเกษตรกรเร่งขึ้นทะเบียนและปรับปรุงข้อมูลทางทะเบียนปีการผลิต 2568/69 พร้อมรอรับเงินช่วยเหลือตามนโยบายรัฐบาล นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เห็นชอบโครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวของเกษตรกรปลูกข้าวปีการผลิต 2568/69 และนาปรังปีการผลิต 2568 โดยจะจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาต้นทุนการผลิตสูงและราคาข้าวที่ตกต่ำ ซึ่งเกษตรกรที่ทำนาปรังและนาปี จะได้รับเงินหลังจากลงทะเบียนและตรวจสอบสิทธิแล้วเสร็จ ทั้งนี้ คาดว่าจะเกษตรกรที่ทำนาปรังจะได้รับเงินเร็วที่สุดภายในเดือนกันยายน 2568 ส่วนเกษตรกรที่ทำนาปี จะได้รับในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอเชิญชวนเกษตรกรทั่วประเทศ เร่งดำเนินการขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร ประจำปีการผลิต 2568/69 โดยเกษตรกรสามารถขึ้นทะเบียนเกษตรกรผ่านช่องทางการบริการของรัฐโดยไม่มีค่าใช้จ่ายดังนี้ วิธีที่ 1 แจ้งกับเจ้าหน้าที่ สำหรับเกษตรกรรายเดิม แปลงเดิม สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอทุกแห่ง หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความพร้อม และร่วมเป็นหน่วยสนับสนุนที่เกษตรกรมีพื้นที่การเกษตรอยู่ รวมถึงแจ้งข้อมูลผ่านผู้นำชุมชนหรือตัวแทนอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ส่วน เกษตรกรรายใหม่ และรายเดิม แต่เพิ่มแปลงใหม่ […]

“วีระ” เตือน รัฐบาลควรเลิกนโยบายกึ่งการคลัง หลังแบกหนี้ 1 ล้านล้านบาท

รัฐสภา 15 ส.ค.-“วีระ” เตือน รัฐบาลควรเลิกนโยบายกึ่งการคลัง ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หลังแบกหนี้ 1 ล้านล้านบาท ตั้งคำถามหลายรัฐวิสาหกิจมีผลกำไรดี จะมาตั้งของบอีกทำไม นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในเรื่องของรัฐวิสาหกิจ ว่า ในเอกสารงบประมาณที่เป็นงบประมาณรายจ่าย มาตรา 29 มีรัฐวิสาหกิจ 21 แห่งของบประมาณรวมกันทั้งสิ้น 79,298 ล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 1.43 แสนล้านบาท ซึ่งในรัฐวิสาหกิจ 21 แห่งที่ของบประมาณมาตนไม่ค่อยติดใจ เพราะมีรัฐวิสาหกิจจำนวนหนึ่งไม่มีรายได้ อีกส่วนเป็นรัฐวิสาหกิจมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ บางรัฐวิสาหกิจมีหนี้สินจำนวนมาก เช่น ขสมก. การรถไฟแห่งประเทศไทย นายวีระ ฝากไปถึงคนที่ต้องจัดการรัฐวิสาหกิจว่า รัฐวิสาหกิจที่มีปัญหารัฐบาลต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดว่า รัฐวิสาหกิจเหล่านั้นคงอยู่ต่อไปในสภาพแบบนั้น หรือ จะดำเนินการแปรรูปให้เอกชนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อไม่ให้เกิดภาระการคลังในอนาคตอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบัน สำหรับกรณี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการ โดยที่รัฐบาลยังถือหุ้นใหญ่อยู่ประมาณ 40% แต่ไม่มีสถานะภาพเป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป […]

ข่าวแนะนำ

“ไมเคิล” ตอบรับคำเชิญ “จิรายุ” จ่อข้ามมาไทยพิสูจน์ข้อเท็จจริง

17 ส.ค.- “ไมเคิล อัลฟาโร” ล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน โพสต์ตอบรับคำเชิญ “จิรายุ” เตรียมข้ามฝั่งมาไทย อ้างค้นหาความจริงปมขัดแย้งชายแดน จ่อทำรายงานส่งถึง “ทรัมป์” ช่วงเช้าที่ผ่านมา เพจ “ไทยคู่ฟ้า” โพสต์สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า “เที่ยงคืนถึงเช้านี้ พื้นที่ 7 จังหวัดประเทศไทย สถานการณ์ปกติ ไทยยังตรึงกำลังเพื่อรักษาอธิปไตยอย่างต่อเนื่อง” โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้ง 7 จังหวัด เหตุการณ์ปกติ กองทัพไทยยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นทั้ง 11 พื้นที่ และวางรั้วลวดหนามอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาอธิปไตยของไทยไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้ามา แม้ในขณะนี้ กัมพูชายังคงมีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง ในรูปแบบต่างๆ เช่น การสร้างข่าวปลอม จ้างอินฟูลฯ การจัดฉาก สร้างสถานการณ์ใส่ร้ายประเทศไทย การจ้างวานบุคคลสมมติ จึงขอฝากความห่วงใยไปถึงประชาชนและสื่อมวลชนที่ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ใช้วิจารณญาณและตรวจสอบข้อมูลจากส่วนราชการ ก่อนเชื่อหรือแชร์ต่อไป นายจิรายุ ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีนายไมเคิล อัลฟาโร ล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน […]

ศูนย์ทุ่นระเบิดจบภารกิจหนุนชายแดน เก็บกู้สรรพาวุธตกค้างกว่า 800 ลูก

17 ส.ค. – ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดฯ สิ้นสุดภารกิจวันนี้ (17 ส.ค. 68) หลังสนับสนุนการเก็บกู้ระเบิดจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเก็บกู้สรรพาวุธตกค้างกว่า 800 ลูก ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC สิ้นสุดภารกิจวันนี้ (17 ส.ค. 68) หลังสนับสนุนการเก็บกู้ระเบิดจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 1-16 สิงหาคมที่ผ่านมา TMAC ได้เก็บกู้สรรพาวุธที่ตกค้างกว่า 800 ลูก ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ประกอบด้วย กระสุน BM-21 ลูกปืนใหญ่ ปืน ค จรวด ก่อนหน้าสถานการณ์ตึงเครียด กัมพูชาขัดขวางการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ไม่จริงใจแก้ปัญหา ทั้งที่เป็นประเทศภาคีอนุสัญญาออตตาวา ที่ห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล สำหรับอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี มีบ้านเรือนได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะ 81 หลังคาเรือน […]

ตรวจสอบ รร.ประถม “พระอลงกต” ไม่ปรากฏชื่อ

ขอนแก่น 17 ส.ค.- กองปราบจ่อประชุมคณะทำงานคดี “หมอบี” เชื่อเจ้าตัวไม่หนี ขณะที่ทนายวัดพระบาทน้ำพุเลื่อนแถลงข่าว อ้างเอกสารชี้แจงยังไม่เรียบร้อย ตรวจสอบโรงเรียนประถม “พระอลงกต” ไม่ปรากฏชื่อ กรณีเพจดังตั้งข้อสงสัยวุฒิการศึกษาพระอลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ อ้างว่าปี 2518 ยังเรียน มศ.2 จะจบวิศวฯ ปี 2519 ได้อย่างไร ผู้สื่อข่าวสอบถามแหล่งข่าวในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ให้ข้อมูลว่ากรณีพระอลงกต ระบุว่าจบการศึกษาที่โรงเรียนระดับประถม(นันทวิทยาลัย) ปรากฏว่าไม่มีชื่อโรงเรียนนี้อยู่ในสังกัดสำนักงานเขตของพื้นที่ทั้ง 26 อำเภอ ใน จ.ขอนแก่น หรือถ้ามี ก็อาจจะปิดตัวไปแล้ว   ส่วนระดับมัธยมศึกษานั้น ข้อมูลยืนยันว่า พระอลงกต ศึกษาจบระดับชั้น มศ.2 ที่โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จังหวัดขอนแก่นจริง มีศิษย์เก่าทั้งระดับชั้นเดียวกัน และรุ่นพี่รุ่นน้องต่างยืนยันว่า พระอลงกต จบจากโรงเรียนแก่นนครวิทยาลัยจริง ในปี 2518 แต่ยังสงสัยในระดับปริญญาตรีว่าจะจบจริงหรือไม่   เชื่อ “หมอบี” ยังไม่หลบหนี พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ […]

รวบแล้ว “ลุงคลั่ง” ใช้ไม้หน้าสามตีหลานสาวดับ

ตรัง 17 ส.ค.- ตำรวจ สภ.ห้วยยอด รวบลุงคลั่งใช้ไม้หน้าสามฟาดหลานสาวแท้ๆ เสียชีวิตคาบ้านพัก สารภาพอ้างแค้นใจสะสมมานาน มีปากเสียงบ่อยครั้ง ตำรวจ สภ.ห้วยยอด จ.ตรัง คุมตัวนายสุริยัณห์ อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุใช้ไม้หน้าสาม กระหน่ำตี น.ส.ปาริชาติ หรือน้องเชียร์ อายุ 21 ปี นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 ซึ่งเป็นหลานสาวแท้ๆ ของตัวเองจนเสียชีวิตภายในบ้านพัก จากนั้นหลบหนีขึ้นไปบนเขา คลองมวน  ต.หนองปรือ อ.รัษฎา เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้าปิดล้อมภูเขา ก่อนจับกุมตัวได้พร้อมของกลางไม้หน้าสามเปื้อนเลือด ความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร  สอบสวนนายสุริยัณห์ รับสารภาพว่าลงมือก่อเหตุจริง โดยอ้างว่ามีปัญหากับหลานสาวมานาน มักมีปากเสียงบ่อยครั้ง วันเกิดเหตุได้บุกเข้าไปในห้อง ใช้ไม้หน้าสามฟาดเข้าที่ท้ายทอยของหลานสาว 6–7 ครั้งจนเสียชีวิต ก่อนหลบหนีออกจากบ้าน ผู้ต้องหาระบุว่า เคยทำงานเป็นช่างสักตามเกาะท่องเที่ยว เช่น เกาะพะงัน และเกาะพีพี แต่มีปัญหาจึงกลับมาอยู่บ้าน มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเคยถูกส่งตัวเข้าบำบัดหลายครั้ง ขณะถูกสอบสวนยังสามารถโต้ตอบคำถามได้ปกติ แต่ไม่มีท่าทีสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป สำหรับศพของ “น้องเชียร์” ล่าสุด […]