กทม. 22 ก.ย. – “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์” ส่งทนายยื่นฟ้อง “พล.เอกประยุทธ์” กรณีคำสั่งโอนย้าย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่ศาลปกครองกลาง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นายสิทธิ งามลำยวง ทนายความส่วนตัว นำเอกสารคำร้องยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองกลาง กรณีออกคำสั่งย้ายโอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นายสิทธิ กล่าวว่า คำสั่งย้ายโอนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายครั้งนี้กินเวลาผ่านมากว่า 1 ปี 5 เดือนแล้ว ยังไม่มีการตั้งกรรมการสอบสวนความผิด พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ และไม่มีการสอบสวนทั้งจากหน่วยงานที่ตรวจสอบทั้ง ป.ป.ท. ป.ป.ช. และ สตง. ตามกระบวนการที่ควรจะเป็นอีกทั้งเจ้าตัวก็ไม่ได้สมัครใจที่จะโอนย้ายไปในตำแหน่งดังกล่าว และที่ผ่านมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็ปฏิบัติหน้ที่เต็มกำลังความสามารถในฐานะตำรวจที่ต้องบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้ประชาชน ด้วยการเข้าไปแก้ปัญหาคดีฉ้อโกงประชาชน หนี้นอกระบบ แก๊งโรแมนซ์สแกม แก๊งอาชญากรข้ามชาติ รวมถึงคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชน โดยการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างเอาจริงเอาจัง จนผลงานเป็นที่ประจักษ์ และภายหลังที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ถูกโอนย้ายไปความเดือดร้อนของประชาชน ก็ไม่ได้รับการเอาใจใส่และสานต่อ ทั้งที่เรื่องปากท้องของประชาชนที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ทำให้ปัญหาซ้ำๆ เดิมๆ ที่เคยห่างหายไปช่วงปราบปรามหนักๆ หวนกลับมาทำร้ายประชาชนได้อีก
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่เคยถูกระบุว่ามีความผิดอะไร ไม่มีการตั้งกรรมการสอบ แม้แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เอง ยังออกมาระบุว่า มีความผิดอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็มีสิทธิกลับต้นสังกัดได้ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการออกคำสั่งแก้ไข คำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และว่าที่ผ่ามา มีข้าราชการกว่า 90 คน ที่ถูกย้ายโอนมาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปัจจุบัน เกินกว่า 80 คน ทยอยกลับต้นสังกัดแล้ว หลังสอบสวนไม่มีความผิด และอีกไม่กี่คนกำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมนี้ ขณะที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่เพียงแต่ไม่มีผลสอบสวนความผิด ยังไม่มีการแก้ไขคำสั่งที่ผิดพลาด ทำให้เสียโอกาส ไปปฏิบัติหน้าที่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้ประชาชน อย่างที่ควรจะเป็น เพราะเป็นหน้าที่ของตำรวจ นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องออกมายื่นฟ้อง ขอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น โดยมองถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นหลัก
ทนายสิทธิ กล่าวอีกว่า การใช้สิทธิเรียกร้องความยุติธรรมของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ในครั้งนี้ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง และเพื่อเป็นบรรทัดฐานให้แก่ข้าราชการอื่นที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแต่งตั้งโยกย้ายจากผู้บังคับบัญชา ให้กล้าที่จะลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมและสร้างมาตรฐานที่ดีของการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม โดยหวังพึ่งอำนาจศาลปกครอง ซึ่งเป็นอำนาจตุลาการ ที่จะให้ความเป็นธรรมและสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องต่อไป. -สำนักข่าวไทย