“ปวีณา” ช่วย 2 หญิงไทยถูกบังคับค้าประเวณีที่เมียนมา

17 ก.พ. – “ปวีณา” ช่วย 2 หญิงไทยถูกจีนเทาหลอกบังคับค้าประเวณีที่เมืองเมียวดี กักขังบังคับเซ็นกู้เงิน เตือนภัย หญิงไทยอย่าหลงเชื่อไปทำงานโดยไม่ตรวจสอบก่อน


วันที่ 17 ก.พ.67 เวลา 13.00 น. ที่มูลนิธิปวีณา ปทุมธานี : “ปวีณา” ช่วย 2 หญิงไทยถูกจีนเทาบังคับค้าประเวณีที่เมืองเมียวดี โดยนางปวีณา เดินทางไปรับทั้ง 2 คน ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้ประสานหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ จ.ตาก ช่วย 2 สาวออกจากขุมนรกได้ ขอบคุณทุกหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือ วันนี้เดินทางถึงมูลนิธิฯ เพื่อให้ข้อมูลรายละเอียด เตรียมแจ้งความ ปคม. ขยายผลเข้าข่ายค้ามนุษย์หรือไม่ พร้อมตรวจร่างกาย รพ.ตำรวจ เพื่อพื้นฟูร่างกายและจิตใจ “ปวีณา” เตือนภัย หญิงไทยอย่าหลงเชื่อไปทำงานโดยไม่ตรวจสอบก่อน จะถูกหลอกบังคับค้าประเวณี กักขังบังคับเซ็นกู้เงิน สุดท้ายต้องใช้หนี้โดยค้าประเวณี ถูกทำร้ายเงินก็ไม่ได้ เหมือนตกนรกทั้งเป็น

สืบเนื่องจากวันที่ 12 ก.พ.67 น.ส.เอ และน.ส.บี อายุ 28 ปีเท่ากัน (ทั้งสองนามสมมุติ) สองสาวเพื่อนสนิท ร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือมาทางเพจเฟซบุ๊ก มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แจ้งว่า ทั้งสองคนถูกบังคับค้าประเวณีอยู่ที่สถานบันเทิง KTV เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ถูกข่มขู่ทำร้าย และกำลังจะถูกขายต่อไปร้านอื่น ขอความช่วยเหลือให้ได้กลับบ้านที่ไทยด้วย หลังรับเรื่อง นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ได้โทรศัพท์ไปพูดคุยกับหญิงสาวทั้งสองคน โดย น.ส.เอ และ น.ส.บี ได้ส่งโลเคชั่นมาให้ ก่อนจะประสานหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ จ.ตาก ให้ความช่วยเหลือสองสาวออกมาได้คืนวันที่ 15 ก.พ.67 และนางปวีณา ได้เดินทางไปรับด้วยตัวเองที่ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก ก่อนจะให้อยู่ในความดูแลมูลนิธิปวีณาฯ เพื่อช่วยเหลือพาแจ้งความ ปคม. เพื่อขยายผลเข้าข่ายค้ามนุษย์หรือไม่ พร้อมตรวจร่างกายที่รพ.ตำรวจ


น.ส.เอ เล่าว่า ตนเป็นคนภาคอีสาน ก่อนหน้านี้ตนทำงานเป็นเซลล์ขายรถยนต์อยู่ที่กรุงเทพฯ ช่วงเดือน พ.ย.66 ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนที่ อ.แม่สอด จ.ตาก และได้พบกับชาวจีนคนหนึ่งบอกว่า ตนเองเปิดสถานบันเทิงที่จ.ตาก และชักชวนให้ไปทำงานพี่อาร์ด้วย โดยจะมีรายได้เดือนละ 3-4 หมื่น รวมค่าทิปแขก ค่าดื่มแล้ว จะได้เดือนละ 1-2 แสนบาท หลังจากวันนั้นตนก็กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ แต่ก็ยังมีการติดต่อพูดคุยกับคนจีนดังกล่าวอยู่ตลอด ช่วงปลายเดือน ธ.ค.66 ตนจึงตัดสินใจลาออกจากงานก่อนเดินทางไปคนเดียวที่แม่สอดหวังจะทำงาน คนจีนดังกล่าวให้ตนนั่งรถไปลงที่ บขส. แม่สอด จ.ตาก จากนั้นให้คนมารับเดินทางโดยรถยนต์อีก 3 ทอด ก่อนจะไปนั่งเรือข้ามฟาก ซึ่งตนไม่รู้ว่าฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นพื้นที่ของประเทศเมียนมา

เมื่อเดินทางไปถึงที่ร้านจึงรู้ว่าเป็นฝั่งประเทศเมียนมาเพราะเห็นการแต่งตัวของผู้คนและมีคนถือปืนตามจุดต่างๆ ภายหลังจึงรู้ว่าเป็นฝั่งเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา บอสคนจีนเป็นผู้หญิงให้ทำงานพีอาร์เอนเตอร์เทนลูกค้า แต่ไม่เคยเจอหน้าหนุ่มคนจีนที่แนะนำ ที่นั่นไม่มีการบังคับค้าประเวณี ช่วง 10 วันแรกได้เงินถึง 3-4 หมื่นบาท ตนเห็นว่ารายได้ดีจึงได้ชักชวนน.ส.บี เพื่อนสนิทมาทำงานด้วยวันที่ 10 ม.ค.67 ช่วงที่น.ส.บีไปถึง บอสคนจีนได้คัดเกรดหญิงสาว และบังคับให้ตนกับ น.ส.บี ค้าประเวณี แต่ตนกับ น.ส.บี ไม่ยอมทำจึงถูกขายต่อไปร้านที่ 2 ในวันที่ 13 ม.ค.67 บอสเจ้าของร้านเป็นผู้ชายชาวจีนให้ตนกับ น.ส.บี เซ็นสัญญาเป็นหนี้รวมกัน 260,000 บาท และบังคับให้ค้าประเวณีใช้หนี้ ข่มขู่จะทำร้าย ตนกับ น.ส.บี กลัวมากจึงต้องยอมทำ แต่ทำไปก็ไม่เคยได้เงินและยอดหนี้ก็ไปไม่ลด ต้องทนทุกข์ทรมานสุดจะทนจึงขอความช่วยเหลือมายังมูลนิธิปวีณาฯ ทางเพจเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 12 ก.พ.67

ด้านน.ส.บี เล่าว่า ตนเป็นพนักงานขับรถบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เป็นเพื่อนกับน.ส.เอ มา 4-5 ปีแล้ว น.ส.เอ บอกว่าไปทำงานเป็นพีอาร์รายได้ดี เป็นช่วงที่ตนกำลังอยากจะเปลี่ยนงานเพราะรายได้ไม่เพียงพอจึงตัดสินใจเดินทางไปทำงานด้วย ไปถึงไม่กี่วันก็ถูกบังคับให้ค้าประเวณีและถูกขายต่อพร้อมกับน.ส.เอ ทางบอสชายคนจีนบังคับให้ค้าประเวณีเพราะเป็นหนี้กันรวมกัน 260,000 บาท ถ้าไม่ทำจะถูกทำร้าย จึงต้องยอมรับลูกค้าทั้งที่ไม่อยากทำ ตนเจอลูกค้าซาดิสม์ ทำร้าย ตบตีช้ำไปทั้งตัวก็ต้องทน ทางร้านไม่ช่วย ถ้าลูกค้าไม่พอใจไม่จ่ายเงิน ทางร้านก็จะมาต่อว่าดุด่าและให้เป็นหนี้เพิ่ม และบอสคนจีนบอกจะขายตนกับ น.ส.เอ ให้กับร้านอื่นต่อในวันที่ 11 ก.พ.67 ตนจึงอ้างกับบอสคนจีนว่าทางญาติกำลังจะหาเงินมาไถ่ตัววันที่ 15 ก.พ.67 เพื่อยื้อเวลา ก่อนตัดสินใจร่วมกับ น.ส.เอ ขอความช่วยเหลือมายังมูลนิธิปวีณาฯ ทางเพจเฟซบุ๊ก โดยนางปวีณา ได้คุยโทรศัพท์กับตนและน.ส.เอ ตนจึงให้รายละเอียดพร้อมทั้งแจ้งพิกัดที่อยู่ให้ทราบ


นางปวีณา กล่าวว่า หลังรับเรื่องได้ประสานหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่จ.ตาก เพื่อให้การช่วยเหลือ น.ส.เอ และ น.ส.บี ทันที ซึ่งการช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องง่ายและอาจจะช่วยไม่ได้ทุกคน จากนี้จะพาทั้งสองคนเข้าแจ้งความกับ ปคม. สอบสวนขยายผล พร้อมพาไปตรวจร่างกาย รพ.ตำรวจ เพื่อพื้นฟูร่างกายและจิตใจ

ทั้งนี้อยากฝากเตือนสาวไทยที่คิดอยากจะทำงานสบายรายได้ดีให้พึงระวัง อย่าหลงเชื่อใครง่ายๆ เพราะงานสบายรายได้ดีไม่มีจริง อย่าหลงเชื่อ ใครที่คิดจะข้ามชายแดนไปทำงานไม่ว่าจะเป็น ด้านตรงข้าม จ.ตาก จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ อาจถูกหลอกบังคับค้าประเวณี กักขังบังคับเซ็นกู้เงิน สุดท้ายต้องใช้หนี้โดยค้าประเวณี ถูกทำร้ายเงินก็ไม่ได้ เหมือนตกนรกทั้งเป็น และเนื่องจากทางเมียนมามีสถาณการณ์การสู้รบเกิดขึ้นในเมืองยิ่งทำให้เป็นอุปสรรคในการช่วยเหลือ และตอนนี้ยากหลายเท่ามาก บางทีก็อาจจะไม่สามารถช่วยเหลือกลับมาได้เลย

ในวันที่ 16 ก.พ.67 หลังจากการเดินทางไปช่วยเหลือ 2 สาวไทย นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ พร้อมด้วยคณะ ได้เดินทางมาพบปะประสานงานกับกองกำลังนเรศวร ซึ่งรับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อย และป้องกันอธิปไตย ในพื้นที่ ชายแดน ไทย -เมียนมา ด้านจ.ตาก และ จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อขอรับทราบสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน และ หารือแนวทางป้องกัน และการช่วยเหลือ คนไทยที่ถูกล่อลวงไปทำงานในสถานบันเทิง บริเวณแนวชายแดน ด้านตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก โดยมี พ.อ.ไมตรี ชูปรีชา รองผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร และคณะ ให้การต้อนรับ ในโอกาสนี้ ทางมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้กล่าวชื่นชมและให้กำลังใจ กับ เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดน และพร้อมจะร่วมมือกับทุกหน่วยงาน ช่วยกันป้องกันไม่ให้ คนไทยถูกล่อลวงไปทำงานผิดกฎหมายในลักษณะดังกล่าวอีก .-414-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ตั้ง กก.สอบ 7 ตำรวจ บก.จร.ทำร้ายลูกชายอดีต ตร. พ่อยันเอาเรื่องถึงที่สุด

กองบังคับการตำรวจจราจร ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรง 7 ตำรวจ บก.จร. รุมทำร้ายลูกชายอดีตตำรวจ พ่อและน้องสาวยืนยันไม่ยอมความ เอาเรื่องถึงที่สุด พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย

ครอบครัวผู้เสียหายที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เผยอาการยังสาหัส ยันไม่ยอมความ แม้มีกระเช้าปริศนามาให้แล้ว 3 กระเช้า พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยพฤติกรรมตัวเอง ด้าน รอง ผบช.น. ยันตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำไป

ครอบครัวของผู้บาดเจ็บที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวนของ สน.บางเขน ก่อนเดินไปชี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่าน และเป็นจุดเดียวกับที่ตำรวจพาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้หลังก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่ารถของผู้บาดเจ็บเป็นรถคันเดียวกับที่ได้ขับแหกด่านหรือไม่ โดยก่อนการชี้จุด พ่อและน้องสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บเดินทางมาพร้อมกับร้อยเวร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เจ้าของพื้นที่ เพื่อชี้จุดและให้ข้อมูลกับตำรวจเพิ่มเติม ระหว่างรอตัวผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวจนสามารถเข้าให้การกับตำรวจได้

นางสาวธนัชตา น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกว่า พี่ชายยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมด โดยเฉพาะดวงตาขวามีเลือดออก การมองเห็นยังไม่ปกติ ส่วนตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำ แต่ยังโชคดีที่ไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด

เหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้ ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหนพร้อมจะต่อสู้ มองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะพี่ชายของตนไปคนเดียวและไม่มีอาวุธ แต่คู่กรณีเป็นถึงตำรวจ และมีด้วยกันถึง 7 นาย ทันทีที่รู้เรื่องตนเองรีบเดินทางมาที่ด่านทันที พยายามสอบถามว่าตำรวจนายไหนเป็นคนทำพี่ชายของตนเอง แต่ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งพี่ชายพยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่คนขับรถหนีด่าน

นางสาวธนัชตา ยังฝากถึงตำรวจตั้งด่านทุกนายว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ตนเองพยายามขอดูแต่มีการอ้างว่ากล้องเสียบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง จึงอยากฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านในวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย เพื่อเป็นการยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะเหตุการณ์วันนั้นตนเองก็มีหลักฐาน รวมถึงพยานคือคนที่เข้าด่านตรวจก็เห็นทุกคนว่าเหตุการณ์ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า

น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกอีกว่าเมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.) มีกระเช้าผลไม้-ดอกไม้ปริศนา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใคร หรือของตำรวจสังกัดใดบ้างนำมาเยี่ยม ขอย้ำว่าไม่ขอรับกระเช้า เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง

ด้าน พันตำรวจโท ธนชัย เกิดศรี หรือสารวัตรเจี๊ยบ อดีตพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. ซึ่งเป็นพ่อของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจรมาก่อนไปอยู่ บก.ปทส. ตามปกติแล้วตำรวจมีขั้นตอนในการใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพัฒนาการอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุแบบนี้ กรณีหากผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวาง ตำรวจไม่มีสิทธิที่จะไปรุมทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งจะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด การจับกุมตำรวจต้องมีการแสดงตัวเป็นตำรวจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิด จากนั้นจะเชิญตัวมาที่ด่านหรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อดำเนินการสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตา ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย แม้ว่าจะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม เมื่อวานนี้ทางพยาบาลแจ้งว่ามีตำรวจนำกระเช้ามามอบให้แล้ว 3 กระเช้า แต่ตนไม่รับ เพราะไม่รู้ว่ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร และไม่รู้ว่าเป็นของหน่วยงานใด เนื่องจากพยาบาลแจ้งแค่ว่าเป็นตำรวจเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าคดี พันตำรวจเอก อนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกับการ สน.บางเขน ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สอบปากคำน้องสาวและแม่ของผู้บาดเจ็บในฐานะพยาน ส่วนผู้บาดเจ็บตอนนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ เนื่องจากยังอยู่ในอาการสาหัส

ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจ ตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ เนื่องจากพนักงานสอบสวนอยากทราบพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน ยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม

ด้าน พลตำรวจตรี ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งดูแลรับผิดชอบงานจราจร ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นผู้บังคับการตำรวจจราจรกลาง รายงานมาเบื้องต้นว่าผู้ก่อเหตุที่เป็นตำรวจทั้ง 7 นาย บอกว่ามีการเข้าใจผิด คิดว่าจะขับรถแหกด่านจึงมีการตามไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะมีการขัดขืน ทำให้ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องใช้กำลังในการระงับเหตุ ยอมรับว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ตอนนี้ทราบว่ากองบังคับการตำรวจจราจรมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงขึ้นแล้ว ส่วนทางคดีอาญาอยู่ที่ สน.บางเขน

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องชี้แจงและยอมรับกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป รวมทั้งอาจจะต้องทบทวนเรื่องยุทธวิธีที่่ใช้ในการระงับเหตุ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่เคยมีวิธีระงับเหตุด้วยการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด.-414-สำนักข่าวไทย

สุดจึ้ง! ซาลาเปาแฟนซีแฮนด์เมด รายได้ครึ่งล้านต่อเดือน

“คุณจารุวรรณ” วัย 78 ปี พร้อมครอบครัว ช่วยกันคิดค้นสูตรซาลาเปาแฟนซีเป็นเจ้าแรกใน จ.ตรัง ส่งขายทั่วทุกภาคของประเทศ สร้างรายได้เดือนละ 450,000-500,000 บาท และมีแผนส่งออกไปขายยังต่างประเทศในต้นปีหน้า

เจ้าของคลินิกซิ่งชนไรเดอร์ตกสะพานเสียชีวิต

เจ้าของคลินิกเสริมความงามชื่อดัง ซิ่งเบนซ์ชนไรเดอร์หญิง ตกสะพานต่างระดับย่านพระรามสี่ เสียชีวิต วัดปริมาณแอลกอฮอล์ผู้ก่อเหตุ สูงเกินกฎหมายกำหนด

เปิดให้สักการะ “พระเขี้ยวแก้ว” วันแรก

ริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้ว ถึงยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวงแล้ว พร้อมเชิญชวนประชาชนสักการะ วันนี้ (5 ธ.ค.) วันแรก ตั้งแต่ 07.00 น.เป็นต้นไป

ข่าวแนะนำ

“ฟิล์ม” เข้ารับทราบข้อกล่าวหา “พยายามกรรโชกทรัพย์-หมิ่นประมาท”

มาตามนัด! “ฟิล์ม รัฐภูมิ” เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ปมคลิปเสียงเรียกรับเงิน 20 ล้านบาท “ดิไอคอนกรุ๊ป”

ผลสอบครูเบญ

ศธ.สรุปผลสอบปม “ครูเบญ” ยืนยันผิดพลาดในการตรวจ-ประกาศข้อสอบ

ศธ.สรุปผลสอบข้อเท็จจริงกรณี “ครูเบญ” ยืนยัน เกิดความผิดพลาดในการตรวจและประกาศข้อสอบ ส่งกระดาษคำตอบของครูเบญ และครูที่สอบได้ ให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจ ไม่พบการแก้ไขกระดาษคำตอบ ด้าน ศธ.เยียวยาให้ครูเบ็ญ แต่เจ้าตัวปฏิเสธ ขอกลับไปทำงานที่เดิม

ปล่อยลูกเรืองประมงไทย

“ภูมิธรรม” ย้ำปล่อย 4 ลูกเรือประมงไทยวันนี้-ไม่มีเงื่อนไข

“ภูมิธรรม” ย้ำปล่อย 4 ประมงไทยวันนี้ โดยไม่มีเงื่อนไข ล่าสุดนำตัวมาที่เกาะสองแล้ว เชื่อหลังจากนี้จะมีมาตรการป้องกันการรุกล้ำน่านน้ำของสองประเทศ