กรุงเทพฯ 12 มี.ค. – อธิบดีกรมป่าไม้ หารือผู้อำนวยการ สคทช. เดินหน้า แก้ปัญหาซื้อขายที่ดินโครงการ คทช. ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ วางแนวทางปฏิบัติป้องกันการเปลี่ยนมือสู่นายทุน หรือคนไม่ตรงคุณสมบัติ ออกหนังสือด่วนแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัด และสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ตรวจสอบ ย้ำหากตรวจพบกระทำผิด เจอเพิกถอนการครอบครองแน่นอน
นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ และนางรวีวรรณ ภูริเดช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ร่วมกันหารือเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการซื้อขายที่ดินในโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) โดยมี พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธ์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) หารือด้วย
อธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยว่า พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่กรมป่าไม้นำไปดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่มีราษฎรถือครองทำกินมาอย่างต่อเนื่อง อยู่ในลุ่มน้ำชั้นที่ 3 4 และ 5 ซึ่งสำรวจไว้ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ปรากฎร่องรอยการทำประโยชน์ในภาพถ่ายทางอากาศสี Ortho Photo ปี 2545 โดยการอนุญาตตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำพื้นที่ไปดำเนินการจัดที่ดินตามแนวทางที่ คทช. กำหนดให้ราษฎรได้อยู่อาศัยทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย


ที่ผ่านมาได้ขับเคลื่อนนโยบายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามแนวทางของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. ที่ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน รวม 4 คณะ ประกอบด้วย 1) คณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธาน อธิบดีกรมป่าไม้เป็นเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดหาที่ดินของรัฐที่เหมาะสม เช่น ป่าสงวนแห่งชาติ ที่ราชพัสดุ ที่สาธารณะประโยชน์ เป็นต้น นำมาดำเนินจัดการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน
2) คณะอนุกรรมการจัดที่ดินมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน อธิบดีกรมที่ดินเป็นเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนหรือที่อยู่อาศัยในลักษณะแปลงรวม 3) คณะอนุกรรมการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาดและพัฒนาสาธารณูปโภคให้แก่ชุมชน 4) คณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัด(คทช.จังหวัด) มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน หัวหน้าสำนักงานจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด และสหกรณ์จังหวัดเป็นเลขานุการร่วม มีอำนาจหน้าที่ขับเคลื่อนการจัดที่ดิน ทำกินให้ชุมชนในระดับจังหวัด ทั้งในด้านการจัดหาที่ดิน การจัดที่ดิน การพัฒนาอาชีพ การพัฒนาสาธารณูปโภค โดยดำเนินการร่วมกับคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้คณะอนุกรรมการจัดหาที่ดินได้กำหนดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเป็นพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน 699 พื้นที่ 65 จังหวัด เนื้อที่ 4.07 ล้านไร่ พร้อมกันนี้ จังหวัดได้ยื่นขออนุญาตเพื่อนำพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติไปดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน 3.67 ล้านไร่ ขณะที่คณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งมีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานได้เห็นชอบในหลักการในการอนุญาตให้ผู้ว่าราชการการจังหวัดนำพื้นที่ไปดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนทั้ง 3.67 ล้านไร่แล้ว โดยกรมป่าไม้ได้ออกหนังสืออนุญาตให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติไปดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนแล้ว 2.99 ล้านไร่ และคณะอนุกรรมการจัดที่ดินได้ดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติให้แก่ราษฎรแล้ว 85,335 ราย 107,454 แปลง เนื้อที่ 602,501 ไร่
ล่าสุดกรมป่าไม้ได้มีหนังสือด่วนที่สุดแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดและสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ให้ดำเนินการใน 3 แนวทางสำคัญ คือ 1) เร่งรัดดำเนินการในขั้นตอนการจัดที่ดินให้เสร็จสิ้น เพื่อป้องกันและควบคุมมิให้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือ โดยให้ทำการตรวจสอบคัดกรองผู้ที่จะได้รับการจัดที่ดินตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว 2) กำชับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจติดตามการใช้ประโยชน์ที่ดินของผู้ได้รับการจัดที่ดินอย่างสม่ำเสมอ
3) แจ้งผู้ปกครองท้องที่ ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ช่วยกันสอดส่องดูแล มิให้ มีการซื้อขายโอนสิทธิ์เปลี่ยนมือ หากตรวจพบมีการกระทำผิดเงื่อนไข ข้อกำหนดการใช้ที่ดิน ให้แจ้ง คทช.จังหวัด พิจารณายกเลิกเพิกถอนการจัดที่ดินของราษฎรรายนั้นๆ แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ผู้อำนวยการ สคทช. กล่าวว่า การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในโครงการ คทช. จัดให้ราษฎรที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด รายละไม่เกิน 20 ไร่ ยืนยันว่า ที่ดินคทช. ไม่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ แต่สามารถตกทอดสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินสู่ทายาทได้
จากนี้ไปจะร่วมมือกับกรมป่าไม้ รวมถึงทางจังหวัดในการติดตามการใช้ประโยชน์ที่ดินและการรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเพิ่มเติมโดยการขอความร่วมมือจาก GISTDA ในการใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูงในการตรวจสอบทั่วประเทศ โดยจะบูรณาการระหว่างหน่วยงานเพื่อนำเข้าข้อมูลรูปแปลง ที่ดินที่ได้รับอนุญาตแล้วตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 กลุ่มที่ 1 – 3 รวมเนื้อที่กว่า 7.32 ล้านไร่ ในระบบติดตามการใช้ประโยชน์พื้นที่จัดที่ดิน คทช. (SPHERE) เพื่อให้การกำกับติดตามการใช้ประโยชน์พื้นที่มีความครอบคลุมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ผู้บังคับการ บก.ปทส. กล่าวถึงการดำเนินคดีต่อผู้บุกรุกครอบครองที่ดินคทช. และป่าสงวนแห่งชาติในจังหวัดฉะเชิงเทรา รวมทั้งพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในจังหวัดจันทบุรี ซึ่งมีข้อมูลจากการสืบสวนเบื้องต้นว่า เป็นกลุ่มทุนที่บุกรุกครอบครองพื้นที่เพื่อทำสวนทุเรียน โดยเมื่อกรมป่าไม้ร้องทุกข์แจ้งความดำเนินคดีต่อ บก.ปทส. แล้วจะต้องสอบสวนขยายผลหาผู้กระทำความผิดให้ได้. -512 – สำนักข่าวไทย