กรุงเทพฯ 31 ก.ค. – สภาทนายความเตรียมฟ้องร้องกรณีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทย โดยจะฟ้องทั้งบริษัทผู้ขออนุญาตนำเข้าและหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแล ชี้จะร้องต่อศาลแพ่งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมและศาลปกครองภายในวันที่ 16 สิงหาคม
นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์, นายสัญญาภัชระ สามารถ อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการ, นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ, นายวีรศักดิ์ โชติวานิช อุปนายกฝ่ายเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรรมการประชาสัมพันธ์และรองเลขาธิการ, นายไพบูลย์ แย้มเอม อุปนายกฝ่ายสวัสดิการและสิทธิประโยชน์, ว่าที่ ร.ต.สมชาย อามีน ประธานอนุกรรมการสิ่งแวดล้อมฝ่ายคดีและปฏิบัติการ, นายปรเมษฐ์ แดนดงยิ่ง รองประธานกรรมการคดีปกครอง, นายภูไท กลิ่นจันทร์ รองประธานอนุกรรมการคดีปกครอง และนายชัยยุทธ รัตนปันตี รองประธานกรรมการคดีปกครองร่วมแถลงข่าวเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายกรณีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทย
นายกสภาทนายความฯ เปิดเผยว่า ตามที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมได้รับหนังสือร้องเรียนจากชาวบ้านในตำบลยี่สาร ตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ว่าได้รับความเสียหายจากการระบาดของปลาหมอคางดำที่พบในแหล่งน้ำธรรมชาติและในพื้นที่บ่อเลี้ยงกุ้งและบ่อเลี้ยงปลาของชาวบ้าน สภาทนายความฯ ได้ตั้งประธานสภาทนายความจังหวัดรวม 16 จังหวัด เป็นผู้แทนของสภาทนายความเพื่อช่วยเหลือด้านกฎหมาย โดยมีประชาชนยื่นขอความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก
คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมของสภาทนายความได้พิจารณาบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ก่อให้เกิดหรือเป็นต้นเหตุของการระบาดของสัตว์น้ำต่างถิ่น ในกรณีนี้สภาทนายความโดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมได้จดทะเบียนเป็นองค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม เมื่อปีพ.ศ. 2545 และเป็นสมาชิกของสมัชชาองค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมสามารถดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนผู้ได้รับอันตรายหรือความเสียหายจากภาวะมลพิษอันเกิดจากการรั่วไหลหรือแพร่กระจายของมลพิษรวมทั้งเป็นผู้แทนในคดีที่มีการฟ้องร้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายให้แก่ผู้ที่ได้รับอันตรายหรือได้รับความเสียหายนั้นด้วย ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
จากการสอบข้อเท็จจริงของคณะทำงานสภาทนายความพบว่า ปลาหมอคางดำซึ่งเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นที่ได้รับอนุญาตจากการประมงให้นำเข้าเพื่อการทดลองศึกษาวิจัยและพัฒนาพันธุ์สัตว์น้ำ โดยมีผู้ประกอบการแห่งหนึ่งเป็นผู้ขออนุญาตนำเข้าและมีการนำเข้ามาศึกษาทดลองเลี้ยงในปีพ.ศ. 2553 ที่ศูนย์วิจัยเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของบริษัทในจังหวัดสมุทรสงคราม ต่อมาในปีพ.ศ. 2560 พบการระบาดของปลาหมอคางดำ โดยเริ่มระบาดครั้งแรกที่ตำบลยี่สาร ตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จากการศึกษาพบว่า สายพันธุ์การระบาดของปลาหมอคางดำมาจากจุดร่วมสายพันธุ์เดียวกัน
คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมสภาทนายความและคณะกรรมการสำนักงานคดีปกครองจึงกำหนดแนวทางให้ความช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายในสองแนวทางคือ
1) การดำเนินคดีแพ่งกับผู้ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทย โดยดำเนินคดีแบบกลุ่มซึ่งจะเรียกค่าเสียหายจากการขาดรายได้ของชาวประมง เรียกค่าเสียหายจากการที่ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย ตามหลัก “ผู้ก่อให้เกิดมลพิษเป็นผู้จ่าย” โดยจะร้องต่อศาลแพ่งแผนกคดีสิ่งแวดล้อม
2) การดำเนินคดีปกครองกับหน่วยงานอนุญาตที่ละเลย ละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็นการทำละเมิดทางปกครองและให้หน่วยงานอนุญาตขจัดการแพร่ระบาดและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่สูญเสียไป โดยให้เรียกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจากผู้ก่อให้เกิดการระบาดของปลาหมอคางดำ รวมทั้งค่าเสียหายจากการที่ต้องสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ
สภาทนายความมั่นใจในข้อมูลและข้อกฎหมายที่ได้พิจารณาประกอบด้วย กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยการประมง และกฎหมายว่าด้วยการความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐ โดยพร้อมจะนำคดีร้องต่อศาลภายในวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ระหว่างนี้ให้สภาทนายความทนายความจังหวัด 16 จังหวัดได้แก่ จันทบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา สงขลา ตราด และชลบุรีรวบรวมความเสียหายของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมงพื้นบ้านเพื่อประกอบสำนวน ล่าสุดได้รับรายงานว่า พบการระบาดในจังหวัดที่ 17 คือ จังหวัดนนทบุรีซึ่งผู้ได้รับผลกระทบสามารถมาแจ้งต่อสภาทนายความทนายความจังหวัดได้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้บริษัทที่ขออนุญาตนำเข้าจะชี้แจงว่า ได้ทำลายปลาและส่งตัวอย่างปลาให้กรมประมงครบถ้วนแล้ว โดยขัดแย้งของคำแถลงของอธิบดีกรมประมงที่ระบุว่า ไม่ได้รับตัวอย่างปลา ทั้งที่เงื่อนไขการนำเข้าจะต้องมีการส่งมอบทั้งตัวอย่างครีบปลา รวมถึงตัวอย่างปลาทั้งตัวเมื่อยกเลิกหรือสิ้นสุดการวิจัย นอกจากนี้อธิบดีกรมประมงยังกล่าวว่า กฎหมายว่าด้วยการประมงฉบับปัจจุบันซึ่งบังคับใช้ในปีพศ. 2558 ไม่สามารถเอาผิดได้ แต่สภาทนายความมั่นใจในข้อเท็จจริงซึ่งจะต้องเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของปลาหมอคางดำว่า ใครหรือหน่วยงานใดต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นบ้าง
ในการแถลงข่าวมีผู้แทนกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมงพื้นบ้านมาร่วมรับฟังด้วย ต่างรู้สึกดีใจที่จะได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย แต่การพิจารณาคดีในศาลต้องใช้เวลานาน เบื้องต้นต้องการได้รับการเยียวยาจากผลกระทบที่เกิดต่ออาชีพ โดยต้องการให้ประกาศพื้นที่ที่พบการระบาดของปลาหมอคางดำเป็นเขตประสบภัยพิบัติเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนโดยเร่งด่วน. -512 – สำนักข่าวไทย